พวกนายๆ ตะหานเดี๋ยวนี้เอาดีทางโต้วาที ทั้งสำบัดสำนวน
ทั้งตัวบทกฎหมายพราวพริ้ง ทั้งโกหกพกลม ทั้งยกตนข่มท่านกร้าวเกิน
ผบ.ทบ.เอาอีก ขุดเรื่องนักการเมืองที่เข้าไปซักถามทหารนอกเครื่องแบบที่แอบติดตามตอนลงพื้นที่หาเสียง
มาค่อนแคะ “กรุณาให้เกียรติเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติงานเช่นเดียวกัน
ไม่ใช่ไปดูหมิ่นดูแคลนซักไซร้ไล่เรียงเจ้าหน้าที่ ที่เขามาติดตาม และอำนวยความสะดวกเรื่องการรักษาความปลอดภัย”
นายพลแดงใส่ยุบยับเลยทีเดียวว่า
ที่ส่งคนไปตามสะกดรอยนักการเมือง “ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปจับผิด”
แต่เพราะการเมืองมีคู่แข่ง มีคนได้ประโยชน์เสียประโยชน์ เดี๋ยวเกิดเหตุวุ่นวายแล้วจะมา
“โยนความผิดให้” ทหารกัน “บางครั้งฝ่ายทหารอยู่เฉย ๆ ก็มีคนมาใส่ร้ายป้ายสี”
ประเด็นสำคัญอยู่ที่
“ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่จำเป็นจะต้องไปแนะนำตัวกับฝ่ายการเมือง”
ดังกับว่าบ้านเมืองของ คสช. กฎบัตรกฏหมา (ไม่มีตัว ‘ย’ เพราะเล่นสำเนียงไทใหญ่ สไตล์ จ.นูโว) ก็ของ คสช. จะทำอย่างไรได้ทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าผู้พูดรู้ตัวหรือเปล่าว่าเหมือนหมาจิ้งจอกหาเรื่องขย้ำหนูน้อยเสื้อแดงในนิทานสอนเด็กของฝรั่ง
สรุปคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ครั้งนี้ ได้ความว่าที่ส่งคนไปคอยตามติ่งนักการเมืองเพื่อจะได้อ้างว่าคนของตนเป็นพยาน
หากมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับนักการเมืองจะโทษทหารไม่ได้
คงจะทำนองเดียวกับที่เพิ่งเกิดกับการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่แยกราชประสงค์
มีคนแอบโปรยใบปลิวจำนวนมากเป็นภาพพิมพ์จากกล้องวงจรปิด ที่มีการแอบถ่ายหญิง-ชายในห้องโรงแรม
ซึ่งเป็นข่าวฮือฮาอาทิตย์ที่แล้ว
โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา
โพสต์ถึงกรณีนี้ว่า “เป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกคือเมื่อวันอังคารที่เราชุมนุมคราวก่อน คราวนี้โปรยเยอะกว่าเดิม
จากสกายวอล์คลงหน้าแมคเลยไปถึงพระพรหม พี่น้องช่วยกันเก็บหลักฐานมาแจ้งความค่ะ”
กลับไปที่การพูดของอภิรัชต์
หากเป็นการโต้วาทีก็ใช้ตรรกะข้ออ้างอย่างมั่วซั่วสิ้นดี ในเมื่อการส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซ่อนตัวไปในฝูงชน
ในการชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการปราศรัยของนักการเมือง
หรือการชุมนุมเรียกร้อง/แสดงความคิดเห็นรวมหมู่อย่างใดก็ตาม ถือเป็นการสอดแนม
หากไม่แจ้งให้ผู้จัดชุมนุมทราบ
ที่กล่าวนั่นเป็นหลักสากล
หรืออย่างน้อยในทางปฏิบัติของประเทศตะวันตกที่มีการปกครองประชาธิปไตย ซึ่งสามารถยืนยันได้ด้วยประสบการณ์ส่วนบุคคล
ความ ‘ไม่จำเป็น’ ที่อภิรัชต์แสดงออกมาด้วยคำพูด หากไม่ใช่เพราะถืออำนาจบาทใหญ่ ก็เขลาเกินไปต่อหลักการสากล
ไม่แต่เท่านั้น
การพูดถึงกระบวนการเรียกร้องของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งว่า “เรียนมาคนละอาจารย์เขาถูกปลูกฝังมาเช่นนี้
เขาก็คิดของเขาเช่นนี้ ต่อให้ใครมาพูดก็ไม่เชื่อ” และ “ทุกคนก็เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคือกลุ่มเดิม”
เป็นทัศนคติแบบที่เรียกว่า ‘hubris’ ถือดี ชอบแสดงปมเขื่อง
ยิ่งเมื่อกล่าวอ้างฝ่ายเรียกร้องเลือกตั้งว่า
“มาขีดเส้นไว้ว่าคนนั้นต้องทำอย่างนั้น ท่านก็ต้องขีดเส้นตัวเองด้วย
ไม่ใช่มาขีดเส้นให้คนโน้น คนนี้เดินอย่างเดียว” เป็นการบิดเบี้ยวข้อเท็จจริง
ในเมื่อผู้ที่ขีดเส้นให้ประชาชนทั้งประเทศต้องเดินตามก็คือ คสช. นั่นละ
ครั้นมีคนจำนวนมากขึ้นๆ
เห็นว่าการถูกขีดเส้นให้เดินมาห้าปีมีแต่เสื่อมถอยลง จึงได้เกิดการขัดขืนไม่ยอมให้ทำตามอำเภอใจอีกต่อไป
โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเลื่อนเลือกตั้ง การจะบอกว่าเลื่อนมาได้แล้วตั้งห้าครั้ง
จะเลื่อนอีกสักครั้งแค่เดือนเดียว “จะตายกันหรือไง”