วันศุกร์, มกราคม 25, 2562

'สารคามโมเดล' ชาวบ้านลุกหนีพลังประชารัฐ "บ่งบอกใบ้อะไรบางอย่างไว้"


ปรากฏการณ์ ไทบ้านมหาสารคามเมื่อนักการเมืองพรรคพลังประชารัฐตั้งเวทีหาเสียง เริ่มปราศรัยได้ไม่เท่าไรคนฟังพากันเดินออกเป็นแถว

เนื่องเพราะ “ไปด่าทักษิณ ไปด่าพรรคที่ตัวเองเคยอยู่ และไปด่าคนเสื้อแดงที่ตัวเองเคยเป็นแกนนำ ชาวบ้านเลยบอกว่า กูขี้เดียดคนแนวนี้ แล้วลุกหนี” (#มึงอย่าจื่อ -ถือแถน ประสพโชค)

เป็นเครื่องชี้แนะอย่างหนึ่งได้ว่า พลังประสานทางการเมืองของ คสช. ที่จะนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังเลือกตั้งนั้น ไม่ใช่ ของตาย เสมอไปเสียแล้ว ทั้งที่มี ตัวช่วยจัดสร้างจัดวางกันเอาไว้มากมาย

ไหนจะวุฒิสมาชิกที่ คสช. แต่งตั้ง-เลือกตัว ๒๕๐ คน ไหนจะกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง รวมทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญเอง ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ พปชร. ภาคอีสาน พูดอีกครั้งหมาดๆ ที่โคราช ว่า

ซึ่งโดยระบบนี้ก็จะทำให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจะได้เสียงเกินครึ่งคงจะยากลำบาก เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้รัฐบาลผสมก็จะมีมาก”

นั่นก็หมายถึงว่าพรรคเครือข่าย คสช. สามารถผลักดันให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยง่าย อย่างที่คาดหมายกันมานมนาน ทั้งที่เจ้าตัวทำเป็นอิดออด กั๊กโน่นกิ๊กนี่ สลับขาเต้นให้คู่ต่อสู้เคลิ้มก็ตามที
 
การไปปราศรัยหาเสียงที่โคราชเมื่อ ๒๑ มกราคมของนายสุริยะ แม้จะทำทีเสนอตัวแก้ปัญหา “ความขัดแย้งจนนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร” เนื่องจาก การต่อสู้ระหว่างสองพรรคใหญ่ เพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ (สไตล์ ตาอยู่ เอาหัวปลาไปกินแบบ คสช. มั้ง)

สุริยะอ้างเคยมีส่วนร่วมในความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ แม้จะมีมลทินเรื่องทุจริตเครื่อง ซีทีเอ็กซ์ก็เคลียร์ไปแล้ว จึงมาอยู่พลังประชารัฐเพื่อเป็นทางเลือกใหม่จากสองพรรคที่ขัดแย้งกัน

ทว่าที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้ประยุทธ์และทีมการเมือง คสช. ได้สืบทอดอำนาจอยู่ดี ยิ่งถ้าจับตาท่าทีของสี่รัฐมนตรีผุ้บริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่พยายามยื้อไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งกันเสียที
 
๑ วันหลังประกาศกฤษฎีกาเลือกตั้ง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล บอกว่าขอ “คุยกันก่อนที่จะประกาศออกมาว่า เราจะพร้อมกันวันไหน” สำหรับการประกาศลาออกจากตำแหน่ง ในเมื่อจากนี้ไปรัฐบาล คสช. ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ขืนยังเป็นรัฐมนตรีกันต่อไปย่อมมีโอกาสผิดระเบียบการเลือกตั้งง่าย

กอบศักดิ์อ้างด้วยว่าเหตุหนึ่งที่ยังรั้งรอ “เพื่อหาวันที่เหมาะสมในการร่วมกันตัดสินใจตามที่ได้พูดไปหลายหนแล้ว” นั้นเพราะ “จะต้องคุยกับนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อรายงานให้รู้ถึงการตัดสินใจของพวกเรา” จึงเป็นที่ชัดเจนว่าคนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ ตัวช่วย ให้ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีก

ดูจากพาดหัวข่าว นสพ.มติชนรายวันวันนี้ (๒๕ มกรา) พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อประยุทธ์เป็นอันดับหนึ่งสำหรับการเป็นนายกฯ ตามด้วย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และอุตตม สาวนายน (หัวหน้าพรรค) ก็พอจะฟันธงทิศทางการเมืองในอนาคตของประยุทธ์ได้แล้ว

คำคุย ฟุ้งของนายไพบูลย์ นิติตะวัน พรรคพลังประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ที่ว่าพร้อมส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ๓๔๕ เขต และเชื่อว่าจะได้คะแนนเลือกตั้งถึง ๒ ล้านเสียง ดันให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกได้ แม้ว่าพรรคของตนไม่สามารถเสนอชื่อซ้ำอีก

ไพบูลย์ซึ่งแสดงเจตนาการตั้งพรรคการเมืองไว้สนับสนุน คสช. ตั้งแต่ต้นเมื่อปี ๒๕๕๙ เรื่อยมา เผยกลเม็ดว่าจะรอ “ไปโหวตในสภา สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ...เพราะว่ามีพรรคที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว


พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจ คสช. เหล่านี้ (รวมทั้งพรรค รปช. ของสุเทพ เทือกสุบรรณ) ถึงจะมีความหวังสูงว่าสามารถได้ ส.ส.ในสภาผู้แทนฯ รวมกันถึง ๑๒๖ เสียง พอสำหรับการโหวตกำหนดตัวนายกฯ ร่วมกับ ๒๕๐ สว.

แต่เป็นที่รู้กันว่าเท่านั้นไม่พอสำหรับการปกครองอย่างราบคาบ เพราะการเสนอร่างกฎหมายต่างๆ หลายอย่างอยู่ในสภาผู้แทนฯ และการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น สว. ไม่มีส่วนร่วมด้วย

ทำให้ฝ่ายตรงข้าม คสช. มีความหวังที่จะกวาดจำนวน ส.ส.ให้แก่พรรคตนมากที่สุด รวมกันแล้วเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้แทนทั้งสภา ๕๐๐ คน ไม่ใช่เรื่องยาก 'สารคามโมเดล' บ่งบอกใบ้อะไรบางอย่างไว้แล้ว