วันศุกร์, มกราคม 11, 2562

สี่รัฐมนตรีถือหุ้นสัมปทานรัฐ ท่าจะหลุดอีกเช่นเดียวกับคดีเมีย 'ดอน'...แต่


ปมสี่รัฐมนตรีที่ กกต.ชี้มูลว่าถือหุ้นสัมปทานของรัฐเข้าข่าย ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามข้อห้ามในรัฐธรรมนูญ ท่าทางจะหลุดอีกหลังจาก วิษณุชี้ช่องให้ไปดูคดีรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าดำรงตำแหน่งต่อได้ ไม่ขาดคุณสมบัติ

ทั้งที่นายวิษณุ เครืองาม แย้มว่ารัฐมนตรีทั้งสี่ “ไม่เคยมาปรึกษาตนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” จึงไม่รู้รายละเอียด แต่ทั่นรองฯ ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล คสช.ก็ชี้ทางรอดไว้แล้วว่า

“จะเป็นกรณีเดียวกับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งท้ายสุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สั่งให้พักงาน นายดอนก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้”

อนึ่ง คดีสี่รัฐมนตรี (ประกอบด้วย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษา นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม และ มล.ปนัดดา ดิสกุล อดีต รมช.ศึกษา) ถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยฟ้องว่าถือครองหุ้นสัมปทานรัฐ เข้าข่ายความผิด ม.๑๘๖ ประกอบ ม.๑๘๔ วรรคหนึ่ง (๒) และ ม.๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๕) และ กกต.ชี้มูลแล้วนั้น

นายวิษณุบอกว่า “ทราบว่าเรื่องนี้มีการไปร้องที่ ป.ป.ช.ด้วย” แต่เป็นเรื่องคุณสมบัติ ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ขณะที่คำร้องต่อ กกต.เป็นเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบ


หมายความว่าสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาจึงเป็นเรื่องคุณสมบัติเช่นเดียวกับคดีนายดอน ถูกฟ้องว่าภรรยาถือหุ้นต้องห้าม ศาลเห็นว่าไม่เกี่ยวกันกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของนายดอน คำฟ้องจึงตกไป

อย่างไรก็ดี มีข้อควรสังเกตุด้วยว่าองค์ความผิดระหว่างคดีสี่รัฐมนตรีกับคดีของ รมว.ต่างประเทศ ไม่ใช่อย่างเดียวกันอย่างที่นายวิษณุว่า ตรงที่คนถือหุ้นเป้นตัวสี่รัฐมนตรีเอง ไม่ใช่ภรรยา ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรจะบ้องตื้นตัดสินด้วยฐานเดียวกัน

ถึงกระนั้นในกระบวนตุลาการไทยยุค คสช.นี้ องค์กรอิสระอย่าง ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน กกต. โดยเฉพาะที่ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ดูจะมีมาตรฐานในการตัดสินคดีความคล้ายคลึงกัน ต่างกัน ต้องดูที่หน้าตา ชาติตระกูล และความคิดเห็นทางการเมือง

คดีหนึ่งจำเลยอาจจะกระทำผิดพลาดโดยบริสุทธิ์ใจ อีกหลายๆ คดีผู้ถูกกล่าวหาผิดตั้งแต่ถูกฟ้องแล้ว เป็นต้น ยิ่งถ้าเป็นประเด็นการหาเสียงเลือกตั้ง ยิ่งชัดแจ้ง ที่พรรคเพื่อไทยถูกระงับใช้สถานที่ของรัฐ แต่พรรคพลังประชารัฐทำได้สบายบรื๋อ

เห็นได้ที่คอมเม้นต์ของ Tanawat Wongchai @drballban :ปราศรัยวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน อำเภอเดียวกัน ห่างกันไม่กี่กิโลเมตร พรรคพลังประชารัฐสามารถปราศรัยได้อย่างเสรี แต่พรรคเพื่อไทยถูกยกเลิกการอนุญาตให้ใช้สถานที่ปราศรัย ต้องปราศรัยข้างถนน #เลือกตั้งสกปรก62
 
ยิ่งหนักเข้าไปอีก เดี๋ยวนี้มาตรฐานบ้านเมืองอยู่ที่การบนบานศาลกล่าวของทั่นผู้นำ หัวหน้า คสช. ขนาดพายุ ปาบึก ยังต้องสยบ “ทุกประเทศที่โดนเดี้ยงหมด ก็แปลกดีที่ของเราค่อยๆ ม้วนหาง” ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุยอวดสรรพคุณตนเอง

ว่ามี “ความห่วงกังวลในประเทศของเรา” ที่เขาบอกว่า “ดินแดนนี้เป็นดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์...ผมสวดมนต์ทุกวัน ขอพระสยามเทวาธิราช ไม่เช่นนั้นจะทวีความรุนแรงขึ้น” แล้วนี่กลับ “มีความเสียหายน้อยที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเขาค่อยสลายไปเอง”

ประยุทธ์อ้างในตอนหนึ่งเมื่อไปยืนเกาะโพเดี้ยมพล่ามที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี เรื่อง “สังคมโซเชียลมีเดีย เวลาโพสต์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ด่าคนโน้นคนนี้ มีความสุขไปวันๆ” และ “ทำลายประเทศทำลายกันเองอย่างนี้ไม่ได้”


แท้จริงแล้ว ประยุทธ์นี่เองที่สร้างความแตกแยก ด้วยการพูดให้ร้ายท่าเดียวต่อฝ่ายที่ตำหนิติติงความเสล่อ และไม่จริงใจในหลักการประชาธิปไตยของรัฐบาล คสช. นอกเหนือจากคอยกระแนะกระแหนหัวหน้ารัฐบาลชุดก่อนที่ตนยึดอำนาจมา

ประดุจสุนัขจิ้งจอกขี้อิจฉาตาร้อน บ่นว่าองุ่นเปรี้ยวแต่เคี้ยวกร้วมกินสวาปามไม่หยุดยั้ง