วันพฤหัสบดี, มีนาคม 09, 2560

ความสับสนจนออกลูกมั่วของบรรดาคสช.





ตีความคำพูดจากการกระทำ ที่ดีเอสไอบอกว่าคดีธรรมกายค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน น่าจะหมายถึง ‘เชือด’ นิ่มๆ ทีละรายสองราย

หลังจากที่เรียกพระปลัดเสกสรรค์ อัตตทโม ไปสอบสวนแล้ว ผู้บัญชาการ ตร. ภูธรให้ความเห็นว่า “หากพนักงานสอบสวนต้องควบคุมตัวเราคงไม่ให้ประกัน”

พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ยังแจงขั้นตอน “หากควบคุมตัวในทางสงฆ์แล้วก็จะต้องดำเนินการจับสึกจากความเป็นพระทันที” ด้วย

(http://www.komchadluek.net/news/crime/263611)





แล้วก็มีราชกิจจานุเบกษาออกมาอีกหนึ่งฉบับ ถอดถอนสมณศักดิ์พระราชภาวนาจารย์ หรือพระทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในข้อหา “เกี่ยวเนื่องกับการให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหา” และนำเงินของวัดธรรมกายไปเล่นหุ้น

พร้อมทั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้า คสช. พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกแล้วเรียกอีก ก็ยังไม่มา เป็นความผิดร้ายแรงถึงกับต้องถอดสมณศักดิ์นั่นละ

อีกราย วันนี้ ๙ มีนา “พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เดินทางถึงกองบังคับการปราบปรามเพื่อมอบตัวสู้ข้อหา

หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลความพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน”

(http://www.tnamcot.com/content/670699)

เป้าหมายของดีเอสไอ ยังมีพระภิกษุสงฆ์ไม่ได้เดินทางไปให้เชือดเหลืออีก ๘ รูป จากที่ออกหมายเรียกไว้ ๑๔ ราย ซึ่ง พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์ศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกดีเอสไอเผยว่า

“๕ วันนับจากวันนี้ (๘ มีนา) กรณีวัดพระธรรมกายจะต้องจบ...เนื่องจากเรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน”

โดย “วันที่ ๑๐ มีนาคมนี้ รัฐบาลโดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายออมสิน ชีวะพกฤษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมหารือร่วมกับ พศ. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพื่อหาข้อยุติ”

(http://www.matichon.co.th/news/488236)

รูปการณ์น่าจะมีการเผด็จศึกธรรมกายภายในอาทิตย์หน้า ด้วยการประกาศสึกพระธัมมชโยกลางอากาศ แล้วใช้กำลังตำรวจ-ทหารเข้าควบคุมภายในวัดธรรมกาย

ขั้นต่อไปที่คาดเดากันว่าจะมีการเรียกร้องค่าเสียหาย และฟ้องแพ่ง ยึดทรัพย์ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ดูจากการที่ผู้ว่า สตง.โผ่กลางปล้องชงมาตรการเก็บภาษีย้อนหลัง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ แย้งกันภายในกระทรวงการคลัง ระหว่างรัฐมนตรีกับปลัดกระทรวง

เมื่อวาน ปลัดฯ สมชัย สัจจพงษ์ ชี้แจงว่า “การต่ออายุหมายเรียกประเมินภาษี ๕ ปีเป็น ๑๐ ปีทำไม่ได้...เรื่องนี้จบแล้ว”

(http://www.posttoday.com/economy/finance/484284)





ไม่สามารถดำเนินการตามมาตรา ๖๑ ของประมวลรัษฎากร ดังที่ผู้ว่า สตง. แนะได้ ทั้งที่ รมว. อภิศักดิ์ ตันติวรวงส์ จะออกมาย้ำวันนี้อีกว่า





“ได้สั่งให้สรรพากรดำเนินการเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ให้ทันก่อนหมดอายุความประเมินภาษี ในวันที่ ๓๑ มี.ค. ๒๕๖๐ นี้” ก็ตาม

(http://www.posttoday.com/economy/finance/484284)

ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งที่นายประสาร มฤคพิทักษ์ เสนอให้ใช้มาตรา ๔๔ เรียก ดร.ทักษิณไปยื่นแบบเสียภาษีภายในเดือนมีนาคมนี้ ก็ไม่อาจทำได้

มิหนำซ้ำ “มีคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ยึดทรัพย์ จำนวน ๔.๖ หมื่นล้านบาทของอดีตนายกฯทักษิณมาเป็นของแผ่นดิน ซึ่งรวมเงินภาษีจำนวนดังกล่าวไว้แล้ว”

(http://www.komkhao.com/content/10317)

ความสับสนจนออกลูกมั่วของบรรดาลิ่วล้อ คสช. เหล่านี้ ทำให้ข้อเขียนของนายฌอน คริสปิน (ซึ่งใกล้ชิดกับเครือผู้จัดการอยู่ระยะหนึ่ง) ปรากฏบนเว็บเอเซียไทมส์ที่ว่า

การกระชับอำนาจของ คสช. ชักจะเริ่มคลายข้อแล้ว อันเป็นผลจากการที่พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ทรงขมึงเกลียวอำนาจของพระองค์บ้าง

(http://www.atimes.com/article/prayuths-grip-starts-slip//)





นั้นเกิดความน่าสนใจขึ้นมาในแง่ที่ว่า ถ้าหากกรณีวัดพระธรรมกาย กลายเป็นเรื่องผิดพลาดให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท (อย่างเช่นการใช้มาตรา ๔๔ ปลดพระราชาคณะ) ในลักณะเดียวกับที่เกิดแก่โครงการราชภักดิ์ละก็

ใครจะปากรม ใครหมอหยอง ไม่อยากคิด