ถ้าคุณเป็นปุถุชน ฟังความรอบด้าน ใช้วิจารณญาน ดูเหตุดูผล แบบที่พวกลูกขุนในระบบยุติธรรมตะวันตกใช้พิจารณาในการตัดสินคดี คุณจะเชื่อใคร
ระหว่างทหารแม่ทัพภาคที่ลูกน้องกดเอ็ม-๑๖ วิสามัญฆาตกรรมเด็กหนุ่มชาวเขาที่ไม่ยอมลงจากรถเมื่อทหารเรียกตรวจ กับผู้เห็นเหตุการณ์แม้จะเล่าความจริงด้วยความกลัว
(ขอบคุณประชาไท นำเสนอรายละเอียดทั้งสองฝ่าย http://prachatai.org/journal/2017/03/70713)
“ทหารบอกลงมา จะค้นในรถ น้องคนนั้นบอกทหารว่าผมไม่ผิด ลงไปทำไม จะตรวจก็ตรวจในรถก็พอ” ชายเชื้อชาติลีซอเล่าด้วยภาษาชาวเขาโดยมีพยานอีกคนแปลเป็นไทย ว้อยซ์ทีวีนำเสนอทั้งคลิปเสียงและถอดความเป็นอักษร
“ทหารเลยกระชากคอลงมา แล้วก็ตี สามคนรุมตี คือว่า ให้ชัยภูมินอนคว่ำแล้วตีข้างหลัง เอากำปั้นตีหัว เอาตีนถีบ แล้วก็ยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด ปืนเอ็ม ๑๖ พอยิงปุ๊บ ทหารลูกน้องก็แห่กันวิ่งมาอีกสามเป็นหกคน”
“ทั้งตีทั้งถีบ กระชากเสื้อขึ้นมา ต่อยหน้า แล้วมือข้างซ้ายดึงผม ถีบตรงหน้าอก น้องกระเด็นหงายท้อง พอน้องลุกขึ้นก็วิ่งหนี”
ตรงนี้แหละที่แม่ทัพภาค ๓ อ้างเวอร์ชั่น “ผู้บังคับหน่วยสอนลูกน้องดี” ว่า “ชัยภูมิมีพิรุธ เมื่อถูกเชิญลงจากรถได้วิ่งหนีและพยายามขว้างระเบิดมา เจ้าหน้าที่จึงต้องยิงป้องกันตัว
โดยเล็งไปที่แขนแต่เฉียดไปโดนจุดสำคัญ” “บุญของน้องมีแค่นั้น” (วาสนา นาน่วม รายงาน)
ทั่นแม่ทัพลำดับเหตุจากที่ดูวิดีโอกล้องวงจรปิด ว่าตอนเข้าไปค้นรถ ทหารไม่ได้ถืออาวุธนะเธอว์ แต่ตอนยิงนั่น เอ็ม-๑๖
“เจ้าหน้าที่ผู้ยิง ไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เขามีความตั้งใจทำงาน” ซึ่ง “ทหารที่ไล่ชัยภูมิใส่เสื้อแขนสั้น แล้วพอหนีไปถึงที่หน้าบ้านตำรวจ ก็มีทหารพูดว่ายิงมันเลยๆ...
ผู้ตายไม่มีอะไรในมือซักอย่าง น้องกลัวมาก ไม่ได้หันกลับมาอีกเลย วิ่งหน้าอย่างเดียว...ตอนน้องหนีทหารยิงปืนสามนัด น้องก็ล้ม”
เหตุเกิดอย่างนี้ละที่ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ บอกว่า “ถ้าเป็นผมในเวลานั้นอาจกด ‘ออโต้’ ไปแล้วก็ได้” ไอ้เณรอาจจะลั่นไกตามที่ “ผู้บังคับหน่วยสอน” พอทำเนา ถ้าระดับแม่ทัพภาคนี่รัวหมดแม็ก (กาซีน) ไปเลย ไม่เหี้ยมแต่ต้องเลือดเย็น
ตานี้มีหญิงอีกหนึ่งคนในหมู่หลายๆ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าบ้าง “พอน้องชัยภูมิตายปุ๊บ ทหารก็เอากระเป๋าของน้องไปที่ห้องทหาร อีกซักพักก็เอากระเป๋าใบนั้นกลับมาไว้ที่รถ
คนที่นี่เห็นทหารยัดยาบ้าใส่ แล้วมีมีดอันนึงที่ทหารถือไว้ แล้วก็ไปหลังรถแล้วก็ถ่ายรูป”
เหล่านั้นเป็นบอกเล่าโดยผู้ให้การณ์ขอสงวนรูปพรรณ เพราะว่า “มีผู้เห็นเหตุการณ์นี้หลายคน แต่ไม่มีใครกล้าเป็นพยานให้นายชัยภูมิ เพราะกลัวอำนาจของเจ้าหน้าที่
เนื่องจากหมู่บ้านผักปิ้ง หมู่บ้านที่นายชัยภูมิพักอาศัยอยู่ มีตัวแทนทหารเข้าไปเยี่ยมชาวบ้าน พร้อมกำชับว่า ไม่ให้มีการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชน”
(http://news.voicetv.co.th/thailand/473214.html)
อย่างนี้นี่แหละที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พูดถึงการที่ทหารจัดปรองดองตามพระราชประสงค์ โดยตั้งคณะอนุกรรมการของตนขึ้นมาจัดการ แต่พรรคเพื่อไทยขอเปลี่ยนเป็นชุดที่มีอิสระจากคราบ คสช.
แล้วบิ๊กตือแจงว่า “ทหารไม่ได้ไปขัดแย้งกับใคร ทหารไปทำอะไรไม่ให้ไว้เนื้อเชื่อใจ” นั้นน่ะ
ถ้าเอามาใช้เป็นมาตรวัดให้กับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณีวิสามัญฆาตกรรมหนุ่มนักกิจกรรมเชื้อสายลาหู่ ละก็
บอกได้เลยว่าการที่ทหารทำให้ตาย ทำให้เจ็บ แบบคอกวัว-ราชประสงค์ ๕๓ หรือการเสียชีวิตของพลทหาร ‘ปริญญาโท’ วิเชียร เผือกสม มาถึงการตายของนายชัยภูมิ ป่าแส ปุถุชนผู้มีวิจารณญานย่อมฟันธงเชียวละ
อย่าว่าแต่ไว้เนื้อเชื่อใจ แม้กระทั่งฟังหูไว้หู ก็ยังไม่ควร