พลาดน่ะพลาดแน่ โทรไปหาเขาแบบผู้ยิ่งใหญ่ สั่งให้ทำนั่นทำนี่ แล้วมีการ์ดอัดคลิปเอาไปดาวกระจาย เจตนาบลั๊ฟ กดดัน แน่นอน
ดูคลิปเป็นสักขีกันได้อีกครั้ง https://www.facebook.com/wat.dhammakaya.benelux/videos/932220470254034/?hc_ref=NEWSFEED
ครั้นมันโอละพ่อ เจ้าตัวเขาโวยจะเอาเรื่องฟ้องร้องคนบันทึก คนแชร์ ถึงต้องแก้ตัวน้ำขุ่นๆ พวกกระบวนการ คสช.นี่ตอแหลรวดตั้งแต่ศิษย์ยันอาจารย์
“แต่เมื่อมันเกิดการผิดพลาดขึ้น พุทธะอิสระก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ และขอโทษมายังท่าน ผอ.สำนักพุทธคนใหม่ด้วย”
แค่เนี้ยนะ แล้วจะจบเหรอ แต่เมื่อวานนี้ (๒๒ มีนา) พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.พศ. พูดไว้พอฟังได้
“ยืนยันว่าไม่เคยเป็นศิษย์ของพระพุทธะอิสระ เมื่อท่านโทรมาตนก็ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เหมือนกับตนให้ข้อมูลกับทางสื่อมวลชน ทั้งนี้ตนไม่ได้ว่าใครทำ
แต่ผู้ที่กระทำผิดใน ๒ เรื่อง คือหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์”
(https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_266065)
ทั้งที่ตั้วโผใหญ่วัดอ้อน้อยอ้าง “เขาทำไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์...ได้สั่งให้ผู้เผยแพร่คลิปไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่และไปกราบขอโทษท่าน ผอ.แล้ว”
บร๊ะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์นี่หมายถึงเผลอเรอน่ะหรือ ในคลิปนั่นคนที่ห่มเหลืองพูดเองว่า เอ้าถ่ายคลิปด้วย
ก็ต้องดูท่าผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ อีกที ว่าจะสงบเงียบหายไปไหม ถ้าจะให้เดาก็คงอย่างนั้น เพราะ ผอ. พศ. คนนี้มาจากฝ่ายบันน้ำบัญชี ดีเอสไอ. อาจไม่ลึกซึ้งกับเล่ห์เหลี่ยมอดีตมังกรแจ้งวัฒนะหัวโจกทีมการ์ดป็อปคอร์นก็ได้
สำหรับประชาชนคนธรรมดาความเสียหายหนักได้เกิดขึ้นแล้ว แค่ขอโทษมันไม่พอเยียวยาหรอก มีแต่พวกนักยึดอำนาจกินบ้านกินเมืองเท่านั้นแหละยอมความกันได้ เอาไปแล้วเอามาคืนถือว่าพ้นผิด
พูดแล้วก็คืนคำได้ พูดผิด พูดก้าวร้าว พูดกร่าง พูดส่อเสียด พูดไม่รูดเป็นไดอะเรีย ทำได้ทั้งนั้น ถ้าออกมาจากปากตะหาน คสช. พร้อมทั้งลิ่วล้อและขนหน้าแข้ง
วันก่อน (๒๑ มีนา) ผบ. รักษาดินแดนพูดถึงนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักกิจกรรมประชาธิปไตย นิสิตวิศวะจุฬาฯ ปีหนึ่ง เรื่องเกณฑ์ทหาร “หากไม่มาก็เท่ากับหลีกเลี่ยง และขัดขืนก็จะถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยทางหน่วยทหาร จะไปแจ้งความ ดำเนินคดีตามกฎหมาย”
นั่นก็คือ “ถ้าไม่มารับหมายเกณฑ์จะมีความผิด จะมีโทษปรับไม่เกิน ๓๐๐ บาท หรือจำคุกไม่เกิน ๓ เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และอีกกรณีหากรับหมายเกณฑ์แล้วไม่เข้ารับการตรวจเลือก ต้องโทษจำคุก ๓ ปีและปรับ๓๐,๐๐๐ บาท”
(http://www.matichon.co.th/news/502976)
ก็เท่านั้น ในเมื่อกฎหมายมีอยู่ แม้ว่ามันจะล้าหลัง ไม่มีความจำเป็นสำหรับยุคปัจจุบัน ก็ต้องอลุ่มอล่วยและหาทางปรับแก้ให้ทันสมัย ไม่ใช่ทำเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย “ต้องรับใช้ชาติ”
อย่างที่ Atukkit Sawangsuk ว่าไว้นั่นละ “อุบาทว์มากแต่กลับถูกต้องดีงามในจิตสำนึกทหารคือ การไปเป็นทหารเกณฑ์ให้นายสิบนายร้อยออกคำสั่งซ้ายหันขวาหันวิดพื้นวิ่งรอบสนามคือการรับใช้ชาติ”
มิหนำซ้ำงานหลักของทหารเกณฑ์อีกอย่างก็คือ เป็นคนรับใช้ คอยบริการนายทหารและคุณนาย พร้อมลูกนาย
และที่ ผบ. รด. อวดฉลาด “คนเรามีความรู้เรียนกันมาตั้งสูง แต่จะมาหลีกเลี่ยงขัดขืนกฎหมายของประเทศ สมควรหรือไม่ ไม่เช่นนั้นจะเรียนหนังสือกันมาทำไม”
นี่ก็ต้องให้อธึกกิตตอบอีกที “ประเทศนี้มีคนจบวิศวะ วิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์ ฯลฯ มากมาย ที่มีความรู้และทำประโยชน์ให้ประเทศได้มากกว่าการเป็นทหารเกณฑ์ แต่ทำไม จะต้องไปอยู่ใต้คำสั่งคนจบ จปร.”
แค่นั้นไม่พอ ทั่น ผบ.รด. “ขอให้ความมั่นใจกับนายเนติวิทย์ว่าการเข้ามาเป็นทหารไม่ต้องกลัวว่าจะโดนกลั่นแกล้ง
เพราะเราไม่เคยคิดที่จะไปกลั่นแกล้งใคร การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อบังคับและกฎหมาย ซึ่งไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้”
อ๊ะ นั่นผิดถนัดทั้งสองประเด็น ในประเด็นแรกต้องฟังที่เนติวิทย์อ้างถึงว่าถ้าเขาถูกเกณฑ์ไปเป็นไอ้เณร “ก็คงถูกเลือกปฏิบัติ บางทีอาจถูกกระทืบตายแน่ ดังนั้นวิธีสู้ที่ฉลาดที่สุดในตอนนี้คือการขอผ่อนผัน”
ซึ่งเขาก็ได้รับการผ่อนผันแล้วสำหรับการเกณฑ์ทหารในวันที่ ๔ เมษายนนี้ “ได้รับแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยแล้วว่าอยู่ในรายชื่อผู้ได้รับการผ่อนผัน ซึ่งจะต้องนำเอกสารการผ่อนผันดังกล่าวไปยื่นในวันนัดเกณฑ์ทหาร”
(http://www.komchadluek.net/news/politic/266604)
ส่วนประเด็นหลังขอแนะนำให้ไปถาม อจ. ปวิน (Pavin Chachavalpongpun) ได้ “...น่าสมเพช เก่งกับเด็กอย่างเนติวิทย์ ทีคนอย่างอภิสิทธิ์ใช้ ‘อภิสิทธิ์’ หนีการเกณฑ์ทหาร ไม่มีทหารแมนๆ หน้าไหนไปตามเอาเรื่องกับอภิสิทธิ์ พวกมึงกระจอกครับ”
อันที่จริง ผบ.รด. น่าจะอ่านเนติวิทย์ให้แตกฉาน ไม่ใช่สักแต่อ้างกฏบัตรกฎหมาย
“การรักชาติไม่ได้มีรูปแบบเดียว ส่วนความคิดที่ว่าต้องรับใช้ชาติโดยการเป็นทหารนั้น เป็นความคิดที่ล้าหลังหมดสมัย ความคิดแบบนี้เป็นการยกย่องทหารว่าทหารเป็นคนรักชาติอยู่กลุ่มเดียว แล้วกลุ่มอื่น ๆ ไม่สำคัญหรืออย่างไร”
นั่นละความคิดความอ่านเด็กวิศวะฯ ปีหนึ่ง ศตวรรษที่ ๒๑ ห่างกับเด็กโค่ง จปร. ศตวรรษที่ ๑๘ แค่ไหน