วันอาทิตย์, มีนาคม 26, 2560
นโยบายปัญญาอ่อนทำให้วุ่นวายไปทั้งลงกา
ตั้งแต่ลุงตูบโชว์รัดสายนิรภัยในรถ ปัญหาก็ตามมาเยอะแยะ ปะเหมาะพอดีจะถึงสงกรานต์ พวกนั่งกระบะสาดน้ำพากันร้องว้า
แถมโฆษกห่านอูต้องออกมากำชับ “ต้องนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยอยู่ภายในห้องโดยสารเท่านั้น”
ถ้าขนน้ำใส่โอ่งหรือถังใหญ่ขึ้นกระบะอย่างที่เคยทำกันได้ “แต่จะต้องไม่มีคนนั่งหรือยืนอยู่ท้ายรถ หากพบจะต้องถูกตำรวจจับปรับอย่างแน่นอน” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ย้ำอีก
แม้นว่าจะโดน Pavin Chachavalpongpun ย้อนให้ “ฟังเหมือนดูดี แต่เป็นนโยบายปัญญาอ่อน เอาตุ่มขึ้นท้ายรถแต่สาดน้ำจากท้ายรถไม่ได้ แล้วจะเอาตุ่มมาด้วยทำห่าไรครับ”
พวกตำหวดก็เลยต้องอธิบาย ‘แก้ผ้าเอาหน้ารอด’ ให้ทั่นผู้นัมพ์ ว่าตุ่มโอ่งน้ำขึ้นท้ายกระบะแล้วคนนั่งไปด้วยเพื่อเล่นสาดน้ำน่ะได้ เฉพาะในจุดที่อนุญาตเท่านั้น จะนั่งกันตั้งแต่ออกจากบ้านตามถนนสายหลักไม่ได้
นั่นก็คือนั่งในตู้แค็บจนกว่าจะถึงที่เล่นสาดน้ำ (ส่วนรถใครไม่มีแค็บ ต้องไปรถเมล์หรือรถไฟฟ้าถ้าอยู่ในเส้นทาง) ซึ่งมันก็เจอปัญหาอย่าง อจ. ปวินว่า “รัฐบาลมีมาตรการอย่างไรไม่ให้ตุ่มกลิ้งไปมาบนท้ายรถจนอาจหล่นตกไปทับรถคันอื่น”
อันนี้ยังไม่เห็นมีคำตอบจากฝ่ายไหน ถึงอย่างนั้นยังไม่อยากจะเหมาเอาว่า “กลัวที่สุดคือมีผู้นำโง่ปกครองประเทศ” ตาม อจ.ปวินว่า “นี่แหละน้า”
หากแต่ระเบียบกฎหมายจะออกมาใช้บังคับเรื่องอะไรที่มันจำเพาะ ก็ต้องทำให้มีความรัดกุมแม่นมั่น ไม่ปล่อยให้เกิดการตีความโยกโย้เละเทะได้
ขณะที่กฎหมายมาตรา ๔๔ ที่ คสช. ใช้อย่างอีเหละเขระขระกับเรื่องสายรัดนิรภัยนี่ ควรรู้อยู่ว่าบ้านเรา (และ/หรือ ทั่วภาคพื้นเอเซียอาคเนย์) ใช้รถปิ๊คอัพกระบะเปิดประทุนมากกว่ารถเก๋ง อันเป็นทั้งความสะดวก ประหยัด และสมประโยชน์รอบด้าน รวมทั้งบรรทุกผู้โดยสารบนกระบะเปิดประทุนนั้นได้
พอเข้าใจนะว่าทีมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์คนเก่งอยากจะทำให้ระเบียบจราจรไทยทันสมัย แต่งหน้าประแป้งเบนความสนใจไปจากความอัปลักษณ์ของวิถีการปกครองและระบบยุติธรรม คสช. เสียแต่ว่ามันสุกเอาเผากินสิ้นดี
จึงได้เกิดปัญหาอ้ำอึ้ง อ่า อ้า เมื่อนักข่าวถามพล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่า “รถปิกอัพของตำรวจเวลาจับกุมผู้ต้องหามักจะให้นั่งท้ายรถ ต่อไปจะทำได้หรือไม่”
ทั่นผู้ช่วยฯ ตอบว่า “ประเด็นนี้จะคุยกันในที่ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าตำรวจต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง รถขนผู้ต้องหาก็มีอยู่แล้ว ในเมื่อกฎหมายห้ามเด็ดขาด ตำรวจก็ทำไม่ได้”
(http://www.matichon.co.th/news/507918)
สำหรับคำพูดทั่นรองฯ ตอนปิดท้ายข่าวที่ว่า “ต่อไปต้องยกเลิกการนำผู้ต้องหาไว้ที่กระบะท้าย” นั่นมีความหมายและนัยยะสำคัญทีเดียว ไม่น้อยไปกว่ายุทธศาสตร์ยี่สิบปี คสช. ก็ว่าได้
เพราะจะปรับเปลี่ยนระเบียบจราจรในประเทศไตแลนเดียอย่างหักโหม เมื่อรถปิ๊คอัพไม่สามารถบรรทุกผู้โดยสารบนกระบะได้
สำหรับตำรวจก็เปลี่ยนไปใช้รถบัสรถตู้ไม่ยาก แต่สำหรับชาวบ้านการขนคนงานไปไร่ ไปสถานที่ก่อสร้าง ไปตลาด หรือขนส่งมวลชนรายวันในชนบท ทำไม่ได้เพราะ ม.๔๔ กฎหมายใหม่สารพัดนึกใช้บังคับ คงต้องวุ่นวายกันไปทั้งลงกา