ไม่มีรัฐใดที่ประชาธิปไตยเข้มแข็งโดยปราศจากการปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
ชำนาญ จันทร์เรือง
หนึ่งในบรรดาข้อถกเถียงในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองของไทยที่ผ่านมาก็คือ
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวความคิด ‘จังหวัดจัดการตนเอง’
ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนท้องถิ่น บนพื้นฐานของ
‘self determination rights’ หรือสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
ซึ่งบางฝ่ายได้โต้แย้งว่าต้องพัฒนาการเมืองการปกครองหรือประชาธิปไตยในระดับชาติเสียก่อน
แล้วจึงค่อยมาพัฒนาการปกครองท้องถิ่นทีหลัง กอรปกับนายกรัฐมนตรีได้ออกมาย้ำเมื่อวันศุกร์ที่
24 มี.ค 60 ที่ผ่านมาอีกว่า
ยังไม่พร้อมกระจายอำนาจปกครองตนเองเพราะยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน
แต่ผมกลับเห็นตรงกันข้าม เพราะผมเชื่อว่าไม่มีรัฐใดที่ประชาธิปไตยเข้มแข็งโดยปราศจากการปกครองท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
ดังคำกล่าวของ Konrad Adenauer อดีตนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีที่ว่า “No
state without city” ซึ่งหากแปลตรงตัวก็คือ
“ไม่มีรัฐใดที่ไม่มีเมือง”
ความหมายที่แท้จริงคือ “ไม่มีทางที่การเมืองการปกครองในระดับชาติ
(state) จะเข้มแข็งได้ หากปราศจากการปกครองท้องถิ่น (ในที่นี้หมายถึงเมืองหรือcity
ซึงรวม town, township, municipality ฯลฯ)
ที่เข้มแข็ง” นั่นเอง
การปกครองท้องถิ่นคืออะไร
ได้มีปรมาจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ได้ให้คำจำกัดความไว้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็น Daniel Wit, William A. Robson, William
V. Hollowway ฯลฯ ซึ่งสามารถสรุปความได้ว่า
“การปกครองท้องถิ่นหมายถึงการปกครองของชุมชนหนึ่งๆ
ซึ่งมีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชนที่อยู่ภายในชุมชนตามขอบเขตอำนาจที่ได้รับ
(กรณีรัฐเดี่ยว) หรือความเป็นอิสระ (กรณีรัฐรวม) จากรัฐบาลกลางหรือส่วนกลาง
โดยจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล, มีสิทธิตามกฎหมายในการตรากฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับต่างๆ,
ตลอดจนมีงบประมาณที่มาจากการจัดเก็บภาษีและรายได้ในรูปแบบต่างๆ ภายในท้องถิ่นของตนเอง,
สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในการปฏิบัติงานเป็นของตนเอง”
การปกครองท้องถิ่นมีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างไร
1) เป็นการให้การศึกษาและฝึกฝนทางการเมือง
(Providing Political Education and Training)
การปกครองท้องถิ่นเป็นหนึ่งในรูปแบบของการศึกษาเรียนรู้ทางการเมือง
เนื่องจากการเลือกตั้งท้องถิ่นในแต่ละครั้งย่อมเป็นช่วงเวลาและบรรยากาศของการเรียนรู้ทางการเมืองเป็นอย่างดียิ่ง
เช่น การรณรงค์หาเสียง, การประกาศและตรวจสอบนโยบาย ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยตรงแล้ว
ยังสามารถพัฒนาไปสู่การลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยตนเอง และพัฒนายกระดับสูงขึ้นจนถึงระดับชาติต่อไป
2) เป็นการส่งเสริมความเป็นพลเมืองและการมีส่วนร่วม
(Promoting Citizenship and Participation)
การปกครองท้องถิ่นเป็นการส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนได้อย่างใกล้ชิด
เพราะการเมืองระดับชาติประชาชนมีความรู้สึกว่าไกลตัว แต่การปกครองท้องถิ่นมีความสัมพันธ์กับประชาชนอย่างแนบแน่นมากกว่า
โอกาสที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองย่อมมีความเป็นไปได้สูง
เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นพลเมืองที่มีความเข้มแข็งในทางการเมืองและตระหนักถึงสิทธิประโยชน์และความสำคัญของตนในทางการเมือง
ฉะนั้น การปกครองท้องถิ่นจึงช่วยยกระดับและขยายไปสู่ความเข้มแข็งในทางการเมืองระดับชาติต่อไป
3) เป็นความเท่าเทียมทางการเมือง (Political
Equality)
เมื่อเปรียบเทียบกับการเมืองในระดับชาติแล้ว
การปกครองท้องถิ่นสร้างความเท่าเทียมทางการเมืองมากกว่า เพราะประชาชนทุกคนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างทั่วถึงและกว้างขวางกว่าการเมืองระดับชาติ
4) มีผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง (political
Stability)
การปกครองท้องถิ่นเปรียบเสมือนการให้การศึกษาทางการเมืองด้วยการให้ประชาชนมีประสบการณ์ในการเลือกผู้นำที่ตนไว้วางใจ
ซึ่งความไว้วางใจที่มีต่อรัฐบาลนับเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ
5) ก่อให้เกิดความรับผิดชอบ (Accountability)
การปกครองท้องถิ่นก่อให้เกิดความรับผิดชอบ
สร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลของประชาชนที่มีต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพราะอยู่ใกล้ชิดกับตนเอง จึงได้รู้เห็นความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ได้ดี เช่น
มีบ้านหลังใหญ่ขึ้น มีรถยนต์ราคาแพงขึ้น ฯลฯ
6) สามารถสนองตอบต่อความต้องการ (Responsiveness)
เนื่องจากสภาพของท้องถิ่นแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน
การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาจึงต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น
การสนองตอบของระบบการเมืองต่อข้อเรียกร้องหรือ
ความต้องการของท้องถิ่นจึงสอดคล้องกับหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ระบบการเมืองคำนึงถึงปัจจัยนำเข้า
(Input) หรือข้อมูลนำเข้าที่ป้อนเข้าสู่ระบบการเมืองแล้วแปรรูปเป็นปัจจัยนำออก
(Output) ที่ตรงกับข้อเรียกร้องและความต้องการของท้องถิ่น
ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีใครรู้ปัญหาท้องถิ่นดีกว่าคนท้องถิ่น”
นั่นเอง
น่าเสียดาย ไทยเรามีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนเรื่องของการกระจายอำนาจมาโดยลำดับ
จวบจนปัจจุบันนับได้ถึง 48 จังหวัดที่ได้มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง
อาทิ ปัตตานีมหานคร ระยองมหานคร ภูเก็ตมหานคร ขอนแก่นมหานคร ฯลฯ
และในที่สุดอดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.)
ได้มีการแนวความคิดที่จะเสนอร่าง พรบ.จังหวัดปกครองตนเองฯ เพื่อที่จะใช้เป็นกฎหมายกลางสำหรับทุกๆ
จังหวัด จะได้ไม่ต้องไประดมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายแบบที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินการมา
จนมีการยื่นร่างพรบ.ระเบียบบริหารเชียงใหม่มหานครฯ ต่อสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วเมื่อ
26 ตุลาคม 2556 โดยมีรองประธานสภาฯ ไปรับร่างพรบ.ฯ และรายชื่อถึงกว่า 12,000 คนด้วยตนเองถึงที่จังหวัดเชียงใหม่
แต่ร่างพรบ.ฯ ต้องมาสะดุดหยุดอยู่เมื่อเกิดการยุบและยึดสภา
มิหนำซ้ำยังมีการพยายามที่จะลดทอนอำนาจและความเป็นอิสระขององค์กรปกครองท้องถิ่น
ในรูปแบบต่างๆ สารพัดวิธี โดยลืมไปว่าการกระจายอำนาจนั้นคือคำตอบของการปรองดองและสมานฉันท์
เพราะการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ประกอบไปด้วยผู้คนจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายและทุกสีที่เห็นความจำเป็นของการกระจายอำนาจ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ “การไม่กระจายอำนาจ
ย่อมไม่ใช่การปฏิรูป” และย่อมไม่ใช่การปรองดองสมานฉันท์อย่างแน่นอน
โลกเขาไปถึงไหนๆ แล้ว การพยายามที่จะฝืนกระแสโลก
โดยพยายามรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเช่นในปัจจุบันที่กำลังทำกันอยู่ ย่อมที่จะฉุดรั้งประเทศไทยให้ล้าหลังจนเกินกว่าที่จะแก้ไขเยียวยาได้โดยง่าย
อย่าลืมนะครับว่า ระบอบเผด็จการจะอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากผู้นำที่เข้มแข็ง
ฉันใด ระบอบประชาธิปไตยก็จะอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากพลเมืองที่เข้มแข็ง ฉันนั้น
-------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 29
มีนาคม 2560