วันเสาร์, มีนาคม 04, 2560

โกหกพกลม





นี่ก็ประเภท ‘ด้าน-ทน’ เหมือนกัน โพลชมลุงตูบ เชียร์ คสช. ตอหลดตอแหลพอๆ กับดีเอสไอ

ดุสิตโพลวันนี้ (๒๔ มีนา) ๗๘ เปอร์เซ็นต์บอกว่าดี “บ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น” ขณะที่ ๗๑ เปอร์เซ็นต์เห็นว่าไม่ดี เพราะมีการ “จำกัดสิทธิเสรีภาพ/การแสดงความคิดเห็น”

(http://www.thairath.co.th/content/873836)

ความเห็นทั้งสองอย่างที่ขัดแย้งกันเนี่ยมาจากคนกลุ่มเดียวกัน แล้วอย่างนี้จะให้เข้าใจอย่างไรได้ ถ้าไม่ใช่ตีความว่า คนเหล่านี้ ‘Bi-polar’ อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย

ยังมีอีกเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง คนประมาณ ๑ พัน กลุ่มเดียวกันนี้แหละบอกว่าหลังรัฐประหารเป็นต้นมา มีสิ่งที่ดีขึ้นก็คือ “รัฐบาลให้ความสำคัญและเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” (๖๑ เปอร์เซ็นต์) ส่วนที่แย่ลงเป็น “ค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง” (๗๑ เปอร์เซ็นต์)

เช่นกัน ถ้าข้าวยากหมากแพงแล้วการที่รัฐบาลให้ความสำคัญเร่งแก้ไข แต่นี่จะ ๓ ปีเข้าไปแล้ว ขนาดเร่งยังไม่เห็นอะไรจะดีขึ้น แล้วจะว่าดีกว่าก่อนได้อย่างไร ถ้าไม่ว่า ‘ตอแหล’ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกอะไรดี

ไม่น้อยหน้า กรุงเทพโพลก็ออกมาวันนี้เหมือนกัน ‘เผย’ ซะด้วยว่า ชาวบ้าน ๗๒ เปอร์เซ็นต์ ยังไม่เข้าใจว่ามาตรา ๔๔ ที่ คสช. ใช้อย่างเมามันอยู่นี้ มันคืออะไร แต่ดัน “เชื่อมั่นใช้แล้วชาติเดินหน้ามากถึงมากที่สุด” (๖๓ เปอร์เซ็นต์)

(http://news.voicetv.co.th/thailand/467211.html)

ซ้ำร้าย ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ของคนกลุ่มนี้ ๑,๒๗๙ คนนี่ละ บอกให้เก็บไว้ใช้ต่อหลังเลือกตั้ง เผื่อจะได้รู้จักกับมันดีขึ้นตอนนั้นมั้ง

อย่างนี้ละที่เรียกว่า ‘โกหกพกลม’ เหมือนดีเอสไอ ดังที่ทนายสิทธิมนุษยชน วิญญัติ ชาติมนตรี ให้ความเห็นเรื่องข้อกล่าวหาของดีเอสไอต่อพระมหาสนิทวงศ์ วัดธรรมกาย

ว่าสิ่งที่ “พระสนิทวงศ์แถลงไม่เข้าข่าย ม.๑๑๖ ขณะเดียวกันข้อมูลที่ DSI แถลงน่าจะผิด ม.๑๑๖ มาก (เสียยิ่ง) กว่า #ธรรมกาย

ทนายวิญญัติ ชี้ด้วยว่า “คำพูดว่าแค่คนๆ เดียวออกมามอบตัวก็จบ เป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยน” แถมย้อนให้ด้วยว่า “คดีเป็นหมื่นเป็นแสนทำไมมาใช้ กม.พิเศษ (เฉพาะแต่) กับวัดพระ #ธรรมกาย”





มิใยที่รายงานเรื่องสภาวการณ์ทางด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เกือบ ๒๐๐ แห่ง ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ประจำปี ๒๕๕๙ ระบุว่า

“ไทยยังคงมีปัญหาสิทธิมนุษยชนอีกหลายประการ อาทิ จับกุมคุมขังโดยพลการ เรือนจำมีสภาพเลวร้าย” และนอกจากนี้

“คำสั่งและประกาศหลายฉบับของคสช.มีเนื้อหาจำกัดเสรีภาพพลเมือง เช่น ลิดรอนเสรีภาพในการพูด การชุมนุม และเสรีภาพสื่อมวลชน

ขณะที่รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๙ ซึ่งกำลังรอการประกาศใช้ ให้การรับรองว่าคำสั่ง คสช.ทั้งหลายถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมาย”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/467133.html)

รายงานกรณีประเทศไทยซึ่งมีความยาว ๖๒ หน้า กล่าวถึงประเด็นที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนมีความกังวลกันถึง “อิทธิพลของ คสช. เหนือกระบวนการพิจารณาคดีความของศาล โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับพลเรือนในศาลทหาร” นั้น

มีพัฒนาการใหม่ แย้มพรายโดย Pipob Udomittipong จากการไปร่วมงานสัมมนาเรื่อง พลเรือนขึ้นศาลทหาร ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ทำนองว่าศาลธรรมดาของไทยเดี๋ยวนี้ล้ำหน้าศาลทหารไปแล้ว





“ทนายสิทธิมากระซิบผมว่า พี่ ศาลทหารน่ะ เดี๋ยวนี้ขออะไรเขาก็ให้ คำพิพากษาก็ให้...เขาอ่านคำพิพากษาทั้งฉบับด้วย เปิดให้คนเข้าฟังหมด ไม่ปิดลับ แม้แต่คดีหมิ่นสถาบันฯ”

อ้าว...แล้วศาลธรรมดาล่ะ “ตรงกันข้ามเลยพี่ ล่าสุดก็ไม่ยอมให้ถ่ายสำเนาคำพิพากษาคดีหนึ่ง ปิดห้องอ่านคำพิพากษา”

สำหรับเรื่อง ‘pre-detention’ หรือการควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ก่อนมีการดำเนินคดี (แบบที่ ‘ไผ่ ดาวดิน’ โดนอ่วมอยู่ขณะนี้) รายงานของ กต.อเมริกัน กล่าวถึงการปฏิบัติของประเทศไทยว่า

“ก่อนตั้งข้อหาและดำเนินคดี เจ้าหน้าที่สามารถกักกันตัวผู้ต้องหาไว้ได้นานที่สุด ๘๔ วัน และจะต้องมีกาไต่สวนทุกๆ ๗ วัน” และหลังจากมีการตั้งข้อหาและเริ่มพิจารณาคดีแล้ว “การควบคุมตัวอาจกินเวลาหนึ่งหรือสองปีก่อนจะมีคำตัดสิน และถึง ๖ ปีกว่าจะถึงการไต่สวนคดีโดยศาลฎีกา”

รายงานยังเอ่ยถึงลักษณะวิเศษของกระบวนการตุลาการไทยด้วยว่า “ระยะเวลาที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวก่อนจะได้รับการตัดสิน มีอยู่บ่อยๆ ที่เป็นเวลาเท่ากับหรือมากกว่าระวางโทษความผิดที่ถูกพิพากษา”

(https://www.state.gov/documents/organization/265588.pdf)

รายงานสิทธิมนุษยชนโดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐนี้ จัดทำในระหว่างยังไม่หมดสมัยของประธานาธิบดีโอบาม่า และนายจอห์น แครี่ เป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ซึ่งเมื่อมาแถลงในสมัยของประธานาธิบดีทรั้มพ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ไม่ใคร่ให้ความสนใจเท่าไรนัก ไม่ได้เป็นผู้นำออกมาแถลงเองตามธรรมเนียมปฏิบัติเฉกเช่นรัฐบาลที่ผ่านๆ มา แม้จะมีการยืนยันว่า “รายงานพูดด้วยตัวของมันเองแล้ว”

จึงไม่มีการกล่าวถึง ‘เรือนจำชั่วคราว’ ที่พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา เนื้อที่ ๓๐ ตารางวา ภายในบริเวณวังทวีวัฒนา ซึ่งใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวและกร้อนผม พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ก่อนนำตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาที่เรือนจำโคราช เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ในคดีรุกพื้นที่ป่าสงวนทับลาน





พล.ต.อ.จุมพล เป็นอดีตข้าราชบริพารใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทรัชกาลที่ ๑๐ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศมกุฏราชกุมารสยาม เป็นผู้ที่เคยมีข่าวว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในครั้งนั้นทรงสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่สำเร็จยุคที่นายอภิสิทธื เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

โดยมีคำสั่งสำนักพระราชวัง ‘ไล่ออกจากราชการ’ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ระบุความผิด “ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดติดพระองค์ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการไปในทางที่ไม่ถูกต้อง แสวงหาประโยชน์ให้กับตัวเอง ฝักใฝ่ในเรื่องการเมืองเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย”