วันจันทร์, มีนาคม 06, 2560

เรื่องสยอง “จะไม่ได้กลับมา” ไม่ว่าใคร ไม่ควรเสี่ยง





๑๙ วันสำหรับ ‘งานเลี้ยง’ เล่นงานธรรมกายของดีเอสไอและ สตช. ที่ ผบ.ตร. บอกว่า “ใกล้จบแล้ว”

หลังจากที่มีประกาศราชกิจจานุเบกษา “พระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอดถอนพระเทพญานมหามุนี (พระไชยบูลย์ สุทธิผล) ออกจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๐” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้รับสนองพระราชโองการ

ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ชี้ว่าเป็นเพียงอีกขั้นตอนของการปฏิบัติ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรียืนยันฟันธงอีกครั้ง “ถ้าท่านบอกไม่ผิด ก็ออกมาให้ศาลพิจารณา” เพราะถือว่าเรื่องศรัทธาปสาทะของศิษยานุศิษย์พระธัมมชโย ไม่เกี่ยวกัน





วันนี้ (๖ มีนา) ตำรวจกับดีเอสไอยังคงประชุมวางแผนตามหาจับกุมตัวอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายกันต่อ เห็นว่าเพิ่งได้พิกัดใหม่น่าสงสัยจะเป็นการขุดหลุมหลบซ่อนภายในบริเวณวัด

ส่วนว่าการข่าวของตำรวจแน่ใจว่าพระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดหรือไม่ “อยู่ไม่อยู่ไม่รู้” ผบ.ตร. ว่า “เรื่องพวกนี้ควรจบได้แล้ว...สรุปง่ายๆ ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา งานเลี้ยงนี้ก็ใกล้จบแล้ว”

(http://www.matichon.co.th/news/485840)

มิใยเมื่อวาน (๕ มีนา) มีเซอร์ไพร้ส์ กสม. ออกแถลงการณ์ “ควรให้มีองค์กรอื่นรวมทั้งประชาสังคมเข้าร่วมเป็นพยานในการปฏิบัติงานตรวจค้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใส”

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคราวนี้กล้าเรียกร้อง สอดคล้องกับท่าทีของพระลูกวัดธรรมกายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยว่า “และหากไม่พบพระธัมมชโยก็ขอให้ยุติการตรวจค้น และยกเลิกมาตรา ๔๔”

(http://www.springnews.co.th/th/2017/03/29032/)

ขณะที่บริเวณตลาดกลางคลองหลวงข้างวัดธรรมกาย ยังมีการชุมนุมรวมตัวกันเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้มาตรา ๔๔ ต่อไป “พระปลัดเสกสรรค์ อัตตทมโม พระลูกวัดพระธรรมกายกล่าวว่า การถอดถอนสมณศักดิ์ของพระธัมมชโย ไม่มีผลต่อการรวมตัว”





และ “ไม่ได้สนใจเรื่องยศ เพราะเคารพด้วยความเป็นอาจารย์” (@ThaiPBSNews)

ส่วนกรณีที่ดีเอสไอออกหมายเรียกให้ไปรายงานตัว ก็จะไปชี้แจงในวันที่ ๘ มีนาคมนี้ โดยไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใดกับหมายเรียก กังวลแต่ว่า “จะไม่ได้กลับมามากกว่า” พระปลัดเสกสรรค์เหน็บ

(http://www.js100.com/en/site/news/view/37777)

“จะไม่ได้กลับมา” นี่น่าเป็นเหตุใหญ่ใจความที่พระธัมมชโยไม่ยอมออกมามอบตัว ไม่ใช่เรื่องฝ่าฝืนหรือไม่เคารพกฎบัตรกฎหมาย อย่างที่พวกตัวเอ้ๆ ของ คสช. พยายามพล่ามกันแต่อย่างใด

แท้จริงวิธีการบีบคั้นด้วยการถอดยศนั้นอาจจะให้ผลตรงข้าม ‘counterproductive’ เสียละมากกว่า

ขนาดอยู่ในสมณศักดิ์ยังเป็นที่หวาดระแวง ว่าถ้าเข้ามอบตัวอยู่ในการควบคุมของดีเอสไอแล้วเกิดอาการกระแสเลือดเป็นพิษขึ้นมาล่ะ

เรื่องสยองอย่างนั้นตัวอย่างเคยมีมาแล้ว ไม่ว่าใคร ยิ่งบริสุทธ์ยิ่งไม่ควรเสี่ยง

โดยเฉพาะเมื่อราชกิจจาฯ ระบุว่า พระราชโองการนี้ คสช. เป็นผู้เพ็ดทูลขึ้นไป และ คสช. ก็ได้จัดการคดีตลอดมาอย่างเห็นแก่กลุ่มผู้กล่าวหา ‘สามประสาน’ ไพบูลย์ นิติตะวัน สุวิทย์ ทองประเสริฐ และมโน เลาหวณิช มากกว่าฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาอันมีศิษย์พระธรรมกายนับแสนคนที่ยืนหยัดความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโย

วิธีการถอดยศเป็นการหักหาญและเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก่อให้เกิดความหมางใจโดยใช่เหตุ

อย่างน้อยๆ ที่ คสช. สามารถสั่งลิ่วล้อให้ทำได้กลับไม่ทำข้อหนึ่งก็คือ ประกาศให้หลักประกันตามคำแนะนำของหนึ่งในผู้กล่าวหา ดังนายไพบูลย์ นิติตะวันเสนอไว้เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม

“หากพระธัมมชโยมอบตัว ควรได้สิทธิประกันตัวต่อสู้คดี จะได้ไม่ถูกจับสึกจากความเป็นพระก่อนที่คดีจะมีการตัดสิน ซึ่งเชื่อว่าหากดำเนินการตามนี้เรื่องทุกอย่างจะจบลง”

(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_26594)