ดูๆ ไปธรรมกายอาจเป็นหนูลองยาแรงกำจัดพุทธพาณิชย์ ถ้าฟังจากที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ออกมาย้ำแผนปฏิรูปศาสนา
วันนี้ (๓ มีนาคม) อดีตประธานกรรมการปฏิรูปศาสนา สปช. ย้ำอีกครั้งในรายละเอียดข้อเสนอของตนที่แถลงไว้เมื่อสองวันก่อน ถึงร่าง พรบ. สองฉบับเกี่ยวกับสภาพุทธบริษัทแห่งชาติและจัดการทรัพย์วัดกับพระภิกษุ
“การเสนอร่าง กม. ทั้งสองฉบับนี้อาจจะมีเสียงต่อต้านจากพระภิกษุสงฆ์บางส่วน แต่ก็ต้องทำ...โดยยกตัวอย่างจากวัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย ซึ่งปัญหานี้มีหลายวัด พระหลายรูปที่มีปัญหา”
(http://www.komchadluek.net/news/regional/262724)
นั่นหมายถึงไม่ว่าวัดไหนๆ ที่โด่งดัง มีคนขึ้นเยอะ กิจการรุ่งเรือง ย่อมเข้าข่ายได้ทั้งนั้น วัดหลวงตามหาบัว วัดยโสธร วัดไร่ขิง วัดสวนแก้ว วัดปากน้ำ วัดชลประทานฯ ยันวัดอ้อน้อยที่ยิ่งใหญ่
เพราะวัดพุทธในไทยทั้งหลายล้วนแต่ดำเนินการคล้ายบรรษัท หรือ ‘Inc.’ (incorporated) กันดาษดื่น ไม่เชื่อลองมาดูรายละเอียดที่นายไพบูลย์เสนอ
เกี่ยวกับ ‘พุทธบริษัท’ เขาเสนอให้จัดตั้งสภาโดยเฉพาะขึ้นมาทำหน้าที่ตีความพระธรรมวินัย “เป็นองค์กรที่ผสมผสานระหว่างคณะกรรมการกฏษฏีกาและศาลรัฐธรรมนูญ...
โดยมีทั้งพระภิกษฺ อุบาสก อุบาสิกา ผู้เชี่ยวชาญ มาทำหน้าที่” แยกจากมหาเถรสมาคมที่ให้ทำหน้าที่เฉพาะในด้านการปกครองสงฆ์
นายไพบูลย์ยกตัวอย่างกรณีพระธัมมชโยรับบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวก่อนโอนเข้าวัด ก็ต้องให้สภาพุทธบริษัทไปตีความว่าผิดหรือไม่ผิดพระธรรมวินัย
(ตรงนี้ขอนอกประเด็นเดียวกันอันใกล้เคียงนิดนึง เพื่อให้มองภาพได้สองด้าน เผื่อจะมีบางท่านได้ยิน ผบ.ทบ. ทำเสียง ‘macho แมน’ พูดแรงว่า “คนๆ เดียวทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องทุกข์ทรมาน บอกให้ออกมามอบตัว อย่ามัวแต่เสวยสุข”
ส่วนนายไพบูลย์กลับหน้ามือจากหลัง... “หากต้องการให้เรื่องนี้ยุติลง ตนเสนอให้พระธัมมชโยออกมามอบตัว และให้สังคมช่วยกันเรียกร้องไปยังกระบวนการยุติธรรม
ว่าหากพระธัมมชโยมอบตัวควรได้สิทธิประกันตัวต่อสู้คดี จะได้ไม่ถูกจับสึกจากความเป็นพระก่อนที่คดีจะมีการตัดสิน ซึ่งเชื่อว่าหากดำเนินการตามนี้เรื่องทุกอย่างจะจบลง”
http://www.matichon.co.th/news/481175)
บังเอิญนายไพบูลย์ไม่ได้พูดถึงกรณีเงินบริจาคของสหกรณ์คลองจั่น หัวใจสำคัญของคดีธัมมชโย ที่เอาไปคืนแล้วยังไม่พ้นมลทินเหมือนคนอื่นๆ
วันนี้พระมหาทศพร ปุญญังกุโร ทำการแถลงข่าวแทนพระมหาสนิทวงศ์ ผู้ซึ่ง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งว่า
“เจ้าหน้าที่เตรียมจะดำเนินคดีกับพระสนิทวงศ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๖ ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน หากเข้าข่ายการกระทำผิดก็จะต้องมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1488511067)
ตอนหนึ่งในแถลงชี้แจงว่า “๒.๒ ศิษยานุศิษย์ได้ตั้งกองทุนช่วยเหลือเยียวยาสหกรณ์ เท่ากับจำนวนเงินที่คุณศุภชัยนำมาบริจาค จำนวน ๑,๐๕๗ ล้านบาท...
มิหนำซ้ำดีเอสไอและอัยการอายัติเงินที่ควรคืนสหกรณ์ไป ๓,๘๐๐ ล้านบาท และทราบมาว่าสหกรณ์เตรียมฟ้องอาญา หากยังไม่ยอมคืนเงินที่อายัติไป”
เรื่องเงินเรื่องทองวุ่นวัดวุ่นฆราวาสไม่พอ เจ้าหน้าที่วุ่นด้วยอีรุงตุงนัง นี่เป็นที่มาของข้อเสนอออก พรบ.จัดการทรัพย์สินของพระกับของวัดให้เด็ดขาดไป ตามแนวจริวัตรของสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
“อย่าเอาเงินมาถวาย พระรับเงินรับทองเป็นอาบัติที่รุนแรงมาก”
ยกเว้นกรณีนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ‘รับ’ และ ‘นับ’ เงินจากโรงแรมเอสซีพ้าร์คคงไม่อาบัติทั้งที่โกนหัวห่มเหลือง ถ้าหากในความเป็นจริงเขาขาดจากความเป็นสมณะไปแล้ว ระหว่างกินนอนหลังเวทีแจ้งวัฒนะช่วงปี ๕๗
จึงไม่กระทบจากการปฏิรูปที่คู่หูหนึ่งในสามประสานถล่มธรรมกาย-ธัมมชโยของเขา เป็นผู้เสนอ
“ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ ให้ถือเป็นทรัพย์สินของวัดที่พระภิกษุนั้นสังกัดอยู่ และให้พระภิกษุใช้จ่ายทรัพย์สินดังกล่าวได้ตามความจำเป็น เพื่อการดำรงสมณเพศเพื่อประโยชน์แก่วัดและศาสนกิจเท่านั้น
เมื่อพระภิกษุพ้นจากความเป็นพระภิกษุหรือมรณภาพ ให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นทรัพย์สินของวัดที่พระภิกษุนั้นสังกัดอยู่ และพระภิกษุจะต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่อยู่ในการดูแลของตนให้คณะกรรมการจัดการทรัพย์สินของวัดที่ตนสังกัดอยู่ทราบทุกปี”
(http://www.posttoday.com/politic/483195)
จะมีพระสงฆ์ออกมาคัดค้านข้อเสนอดังที่ผู้เสนอคาดหมายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาด้วยไหมไม่รู้ได้ งานนี้จะดันไปได้แค่ไหนน่าจะอยู่ที่สังฆราชองค์ใหม่เป็นหลักมากกว่าใคร