วันเสาร์, มิถุนายน 18, 2559

สิ่งที่เป็นสากลของ รัฐบาลคสช.





สงสัยพวก คสช. เพิ่งไปเข้าคอร์ส ‘ค้าเสรี’ มาหมาดๆ เตรียมนำชาติเข้าเป็นหุ้นส่วนทรานสแปซิฟิค ทั่น รมว. กระทรวงตระลาการเลยเอาไอเดียมาใช้กับ ‘ยาบ้า’

“ขอให้สังคมช่วยพิจารณาว่าสุรา บุหรี่ และกาแฟ เป็นสารเสพติดหรือไม่ แล้วเหตุใดจึงไม่มีการจับกุม แต่ปล่อยให้มีการค้าแบบเสรี เพราะสุรา บุหรี่ กาแฟล้วนมีผลต่อจิตประสาทเช่นเดียวกับยาบ้า”

(http://news.mthai.com/hot-news/general-news/501122.html)

พล.อ.ไพลูลย์ คุ้มฉายา ออกมาแจงต่อ เรื่องเสนอให้ยกเลิกจัดประเภทสาร ‘เม็ทแธมเฟทามีน’ (methamphetamine) เป็นยาเสพติดร้ายแรงเทียบเท่าเฮโรอิน

“ขณะนี้การปราบยาเสพติดโดยใช้วิธีรุนแรงอาจไม่ได้ผล และกระแสโลกเปลี่ยนไป มีผลวิจัยหลายชิ้นระบุว่า องค์ประกอบของยาเสพติดจากพืชทั้งกัญชาและฝิ่น สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้...”

“ก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรมก็เคยมีการแนวคิดถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ พร้อมทั้งให้ใช้พืชกระท่อมเป็นยาสมุนไพรที่จะมีการพัฒนาต่อยอด และให้เป็นสารที่ถูกควบคุมในฐานะวัตถุออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ”

(http://www.matichon.co.th/news/178842)

“ผู้ที่ถูกจับกุมเป็นผู้ค้ารายย่อย ทำหน้าที่เพียงรับจ้างขนและจำหน่าย กับผู้เสพ สร้างปัญหาอาชญากรรมผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ออกมาก็สร้างปัญหาสังคมกลับไปเสพยา ขยายเครือข่าย เมื่อไม่สามารถปราบได้หมดจึงควรหาแนวทางอยู่กับยาเสพติดอย่างไร”

ดูจากสถิติจำนวนผู้ที่มีปัญหาจากการเสพติด พบว่าเพิ่มกว่าเท่าตัวจาก ๕ แสน ๕ หมื่นรายในปี ๒๕๔๗ มาเป็น ๑ ล้าน ๘ แสนคนในปี ๒๕๕๗





ก็คนเขามาตอบไว้บนกระดานโซเชียล “เรื่องนโยบายถอดยาบ้าออกจากบีญชียาเสพติด เห็นมีหลายคนออกมาสนับสนุน บอกว่าเป็นแนวทางสากล...

สิ่งสากลที่เป็นประโยชน์จากประชาชน รัฐบาลทำลายมันทิ้งทุกเรื่อง (แรงงานทาส มาตรฐานการบิน ระบบสุขภาพ รถไฟเร็วสูง ๓ กิโล) แต่สิ่งที่เป็นสากลสำหรับพ่อค้ายาเสพติด ตอบรับมาทำอย่างรวดเร็ว”

อันนั้นทั่น รมว. ได้ไอเดียมาจากการไปประชุมกับองค์กรของสหประชาชาติ UNGASS เลยเอามาเสนอ ครม.

ส่วนไอเดียเรื่องไล่เก็บป้ายศูนย์ปราบโกงของ นปช. ที่ไปผุดตามจังหวัดต่างๆ (ล่าสุดเห็นโผล่ที่ปัตตานี) อันนี้ต้องให้เครดิตเป็นของ คสช. แท้ๆ ชนิดไม่เคยมีมาก่อนทีไหนในโลก

เพราะไม่ต้องมีระบบระเบียบอะไรยึดโยง น้องพูดงี้ พี่พูดงั้น ลักลั่นไม่เป็นไร สไตล์ทหารครองเมือง

“ประธาน นปช. ชี้ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ให้ตั้งศูนย์ปราบโกงได้ แต่ พล.อ.ประวิตร (วงษ์สุวรรณ) สั่งห้าม แสดงถึงเป็นผู้มีอำนาจแท้จริง จนทำให้นายกฯหน้าแตก”





นายจตุพร พรหมพันธุ์ ย้ำว่า “เรื่องราวการเปิดศูนย์นั้นไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อผู้มีอำนาจอธิบายยิ่งผิดกันไปมาก การระบุว่าสร้างความขัดแย้งนั้น ขัดแย้งกับใคร บอกไม่เป็นกลางตนก็บอกเสมอว่า ไม่เป็นกลาง แต่ฝ่ายอำนาจรัฐกลับไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่เป็นกลาง”

(http://prachatai.org/journal/2016/06/66381…)

“เราแสดงชัดเจนว่า การตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการปราม ว่าอย่าลุแก่อำนาจ ไม่ต้องการให้ใครมาโกงการทำประชามติ...

ถ้าประชาชนเห็นว่า ทำกันอย่างโปร่งใสจึงเป็นสิ่งที่ดี แต่วันนี้อาการมันผิดสังเกต ดูเหมือนกับไปแทงใจดำคนคิดจะโกง พอตั้งศูนย์ปราบโกงจึงเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้น...

ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าคิดอะไรกันกับการสั่งปิดศูนย์ ทั้งๆ ที่การปิดศูนย์ดึงได้แค่ป้าย ปิดสถานที่ ไม่อาจปิดหัวใจประชาชนได้เลย และ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่อาจชนะได้เลย”

ประธาน นปช. พูดตรงๆ ชัดแจ้ง แต่ไฉนโฆษกกรรมการร่าง รธน. นายอมร วาณิชวิวัฒน์ จึงได้ทึ่มทึไม่เข้าใจ พูดถึงการที่มีคนออกมาต่อต้านรัฐธรรมนูญกันมาก

ว่า “สะท้อนถึงความหวาดหวั่นและหวั่นใจของกลุ่มต้าน ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ”

เอ๊า ก็เขาต้านเพราะไม่ต้องการให้ผ่านไงล่ะ พวกที่ คสช. เอามาร่างรัฐธรรมนูญใหม่เหล่านี้พากันสติตื้นไปเสียหมดหรือเปล่า ถึงไม่เข้าใจว่าการตั้งศูนญ์ปราบโกงประชามติเพราะไม่ไว้ใจคนจัดนั่นละ ไม่ใช่อะไรอื่น