นี่ถ้าน้ำไม่มารอระบายในกรุงเทพฯ เมื่อสองวันก่อนละก็ เราคงยังไม่ทราบว่าน้ำนั้นรู้ใจตนเอง “บังคับเขาไม่ได้” หรอก
จะต้องไหลจากสูงลงต่ำอย่างที่ผู้ว่าการกรุงเทพมหานครอธิบาย ฉันใดก็ฉันนั้น ไฟเมื่อเผาแล้วก็จะไหม้จากต่ำไปสู่สูง รอบรรลัย เพราะเขาก็รู้ใจตนเองเหมือนกัน
แต่ไฟนั้นดับได้ที่ต้นลม ส่วนน้ำท่วมก็แก้ได้ด้วยการเปิดทางไหลไปสู่คลองและอุโมงก์ระบาย อย่าให้ต้องรอ
น่าเสียดายที่น้ำท่วมครั้งก่อนไม่ได้เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผู้บริหาร กทม. เลยแม้แต่น้อย จึงได้พบเก้าอี้โซฟา และวัสดุชิ้นใหญ่ๆ ติดอยู่ในท่อระบาย เหมือนเมื่อปี ๕๔ พบที่นอนและถุงทรายไปอุดตันอุโมงก์หม่อม
แต่เอะ ปีนี้มีการขุดลอกคลองขนานใหญ่ ตามบัญชาหัวหน้า คสช. มิใช่หรือ ซ้ำรัฐบาลบิ๊กตู่ได้มอบความไว้เนื้อเชื่อฝีมือเต็มเปี่ยมให้องค์การทหารผ่านศึกรับสัมปทานหัวคิวไปจัดการอีกด้วย
ฤๅว่าน้ำท่วม ๕๔ จะไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นการ ‘สั่งสอน’ รัฐบาลชุดนั้น ผู้บริหารน้ำใน กทม. ชุดเดิมถึงได้ไม่คิดจดจำในรัฐบาลชุดนี้
จะมีก็แต่สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำลืมไปแล้ว ยังอุตส่าห์มีเหตุให้ชาวบ้านต้องหวนมาจดจำ ก็ไอ้แท่งดำๆ ติดหนวดมังกรยาวเรียว ที่เคยอ้างว่าวิเศษตรวจจับระเบิดได้ดี ซึ่งกรมสรรพาวุธจัดซื้อมา ๔๐๘ เครื่อง ราคาอันละ ๙ แสน กับอีกหลายแหล่งซื้อไว้เหมือนกันทั้งกรมศุลกากร กรมราชองครักษ์ ในราคาต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ๔ แสนกว่าไปถึง ๑ ล้านเศษ
เสร็จแล้วปรากฏว่าผู้จัดหาจัดขายถูกฟ้องร้องในอังกฤษข้อหาหลอกลวง เอาเครื่องเสาะหาลูกกอล์ฟราคาแค่ ๗๐๐ บาทมาดัดแปลง ย้อมแมวขายหลายรัฐบาลรวมทั้งไทย นายคนนั้นติดคุกไปแล้ว แต่ศาลพิพากษาเพิ่มเติมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วให้ยึดทรัพย์เอามาชดใช้ผู้เสียหายหลายร้อยล้านดอลลาร์
ดราม่าจึงเกิดขึ้นในถิ่นไตแลนเดีย ขณะที่ทหารผู้รับผิดชอบโดยตรงตอนจัดซื้อ โดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขณะนั้นเป็น ผบ.ทบ. และขณะนี้เป็นรองหัวหน้า คสช. ทำไขสือไม่สบตาใคร
เรื่องเลยไปตกกับคุณหญิงนิติวิทยาศาสตร์ คนที่เพิ่งผัดหน้าทาสีผมรอเทียบมาเกยไปเป็นรัฐมนตรีรัฐบาล คสช. ชุดใหม่อยู่พอดี เพราะเธอเป็นเหมือนเสียงชี้ขาด หรือ voice of authority ในตอนนั้น บอกว่า “ใช้ได้ดี”
มาตอนนี้เปลี่ยนคำเป็น “หมอไม่เคยบอกนะ หมอไม่เคยเชื่อว่าจีที ๒๐๐ ใช้งานได้”
ก็เลยมีด็อกเตอร์อีกคนมาท้วงว่า “คำพูดเป็นนายตัวเราเอง คนเราทุกคนมีสิทธิผิดได้ อยู่ที่จะยอมรับและปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้แค่ไหน”
รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คแสดงข้อความที่ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เขียนไว้ในหนังสือของเธอเองเรือง ‘ทักษิณวิปโยค’
“จีที ๒๐๐ คือเครื่องตรวจหาสารวัตถุระเบิดที่ผลิตในต่างประเทศ มีความสามารถในการค้นหาสารวัตถุระเบิดได้อย่างดีเยี่ยม เป็นอันดับต้นๆ ของโลก”
อันเป็นเหตุให้คุณหญิงหมอชี้แจงต่อไปจนใครๆ เล่าขานว่านั่น ‘พรดริฟท์’ ต่างหาก “คนทำงานย่อมรู้สึกอุ่นใจ แม้ว่าจะวางใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ต่อมามีประเด็นเรื่องการทุจริต ก็ควรต้องแยกแยะว่านั่นคือเรื่องที่ต้องตรวจสอบคนซื้อ คนขาย” และลงเอยด้วย
“หมอได้ปล่อยวางหมดแล้ว ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าเราทำอะไรถูกหรือผิด จิตจะไม่ไปผูกกับสิ่งรอบตัวให้รุงรัง” บ๊าย บาย
จึงเป็นอันตอนนี้หลุดมือคุณหญิงหมอไปแล้ว ไปอยู่ในมือทั่นรองฯ วิษณุ เครืองาม เพราะทั่นนายกฯ “มอบหมายให้รับผิดชอบการเรียกเงินเยียวยาจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดปลอม”
(http://prachatai.org/journal/2016/06/66463)
ซึ่งใช้วิธีแทงสองง่าม ง่ามแรกให้อัยการสูงสุดเป็นตัวแทนหน่วยราชการไทยที่ได้รับความเสีย เห็นว่าตั้ง ๖๐๐ ถึง ๘๐๐ ล้านบาท ขณะที่ศาลอังกฤษสั่งยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดได้ไม่ถึง ๔๐๐ ล้านบาท จะทำอย่างไร
ทั่นรองฯ ไม่ยั่น “ใครเป็นคนหลอกเรา เราก็ฟ้องคนนั้น” ก็เห็นทีจะไปลงที่นายหน้าจัดซื้อในไทย อันไปลงตรงการแทงง่ามที่สองพอดี ซึ่ง “คนซื้อจะมีความผิดด้วยต่อเมื่อมีการทุจริต แต่จะมีจริงหรือไม่
ขณะนี้การตรวจสอบอยู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” แต่ก็อาจช้าหน่อยเพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยพัวพันรัฐบาลชุดที่แล้ว หรือชุดของพี่ชายนายกรัฐมนตรีชุดที่แล้วเท่าไรนัก
ครั้นนักข่าวซักอีกว่าแล้วจะเป็นการ ‘เสียค่าโง่’ ไหมเนี่ย ทั่นรองฯ บอก ฮ้าย อย่าไปใช้คำอย่างนั้น “ถ้าเรียกได้ก็เป็นค่าฉลาด ที่สำคัญถือเป็นค่าซื้อความรู้ แต่แพงไปหน่อย”
เออน่ะ เอากะทั่นดิ