วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 23, 2559

ยกเลิกโทษยาเสพติด : หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

ชำนาญ จันทร์เรือง

จากการที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมได้ออกมาชี้ว่าทิศทางในการแก้ปัญหายาเสพติดของโลกเปลี่ยนไป จากการปราบปรามให้หมดสิ้นเป็นต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ พร้อมกับเสนอแนวความคิดที่จะยกเลิกเมทแอมเฟตตามีน (ยาบ้า) จากบัญชียาเสพติดเป็นยาปกติ นั้นได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างหลากหลาย มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ในเรื่องนี้ผมได้เคยเสนอแนวความคิดนี้ไว้เมื่อปลายปีที่ 2558 ที่ผ่านมาเช่นกัน ทั้งการเขียนบทความและการออกรายการ เถียงให้รู้เรื่อง ทางสถานีไทยพีบีเอส ในหัวข้อ ยกเลิกโทษยาเสพติด แก้ไขปัญหาได้จริงหรือ ( https://www.facebook.com/DebateThaiPBS/)

ซึ่งได้มีผู้เข้ามาให้ความคิดเห็นมากมายจนกลายเป็นกระทู้ท็อปฮิตที่ถูกแปะไว้หน้าวอลล์มาจนถึงปัจจุบัน กอปรกับล่าสุดในขณะนี้ก็ได้มีภาพยนตร์สารคดีที่กำลังลงโรงที่โด่งดังมากเรื่องหนึ่งของ Michael Moore ชื่อว่า Where to Invade Next ? ที่มีตอนหนึ่งกล่าวถึงโปรตุเกสที่ยกเลิกโทษยาเสพติดทุกชนิดมา 15 ปีแล้ว สถิติอาชญากรรมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มิหนำซ้ำกลับลดลงอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดนั่นเอง

ค่าใช้จ่ายในการปราบปรามลดลง ลดการทุจริตคอร์รัปชันเกี่ยวกับการค้าขายยาเสพติดลงอีกด้วย

เมื่อ รมว.ยุติธรรมได้ออกมาเสนอแนวความคิดนี้ ผมจึงขอเล่าอีกครั้งหนึ่งถึงที่มาที่ไปของแนวความคิดของการแก้ไขปัญหาแบบ “ย้อนศร” หรือ “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง” นี้ ซึ่งก็คือเมื่อปีที่แล้วนายริชาร์ด แบรนสัน ผู้บริหารของเวอร์จินซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของโลกที่ออกมาให้ข่าวว่า UNODC (United Nations Office on Drugs and Crime) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมระหว่างประเทศของสหประชาชาติที่ไปประชุมกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลย์เซีย มีข้อเสนอให้ยาเสพติดทุกชนิดในโลกนี้สามารถครอบครองได้โดยถูกกฎหมาย

พูดง่ายๆ ก็คือยกเลิกโทษทางอาญา (decriminalization) สำหรับยาเสพติดนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ ทำตาม โดยการที่นายริชาร์ด แบรนสันออกมาประกาศเรื่องนี้เพราะไม่อยากให้ UNODC ล้มเลิกแผนการนี้ (he feared the UN would have a last minute change-of-heart) นั่นเอง เขายังบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา และผู้ที่ติดยาเสพติดสมควรที่จะได้รับการรักษาไม่ใช่การถูกจับยัดเข้าไปในคุกตาราง (While the vast majority of recreational drug users never experience any problems, people who struggle with drug addiction deserve access to treatment, not a prison cell)

หลายคนอาจจะงงว่าเหตุใดผมจึงมีความเห็นด้วยแนวความคิดเช่นนี้ เหตุก็เนื่องเพราะรัฐต่างๆ ทั่วโลกใช้งบประมาณมหาศาลแก้ปัญหายาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ปปส. ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา ราชทัณฑ์ ฯลฯ แต่ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ผลมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพิ่มผู้มีอิทธิพล มาเฟีย อีกทั้ง ยิ่งเพิ่มโทษสูงขึ้น ยาเสพติดก็ยิ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่หากมีการทำให้ถูกกฎหมายขึ้น รัฐก็จะสามารถเก็บภาษีเข้ารัฐจากส่วนนี้ได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือที่โปรตุเกสที่ยกมาในตอนต้นของบทความนี้นั่นเอง

อีกกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจจากสหรัฐอเมริกาก็คือการทำให้กัญชาไม่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายใน 4 มลรัฐและ 1 เมือง คือ โคโรลาโด วอชิงตัน อลาสกา โอเรกอน และวอชิงตัน ดี ซี โดยผ่านการทำประชามติของประชาชน แต่ก็มีเงื่อนไขว่ามีไว้ครอบครองได้ไม่เกิน 1 ออนซ์ ปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้น และต้องสูบในที่ส่วนตัวในบ้าน เป็นต้น ส่วนในยุโรปนั้นมีหลายประเทศแล้ว เช่น เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

กรณีในอดีตที่ผมอยากจะยกมาเปรียบเทียบก็คือในสมัยก่อนที่สหรัฐอเมริกามีการห้ามผลิตและจำหน่ายเหล้า จึงมีการลักลอบผลิต เหล้าเถื่อน หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า “moonshine” เพราะเป็นการลักลอบผลิตกันตอนกลางคืนภายใต้แสงจันทร์ การมีข้อห้ามเช่นว่าทำให้เกิดมีขบวนการค้าเหล้าเถื่อนและเกิดเจ้าพ่อขึ้น โดยที่ชิคาโกมีเจ้าพ่อที่โด่งดังมากก็คือ อัล คาโปน ที่ฆ่าคนตายเป็นว่าเล่น แต่พยานหลักฐานไปไม่ถึง สุดท้ายมาจบด้วยการแก้เผ็ดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เอาเขาเข้าคุกด้วยมาตรการทางทางภาษีที่มีโทษจำคุกด้วย ซึ่งต่อมาเหล้าหรือสุราทั้งหลายก็กลายเป็นของถูกกฎหมาย ปัญหาเรื่องการปราบปราม การทุ่มงบประมาณ ฯลฯ จึงหมดไป ทำให้ผมคิดว่ากรณียาเสพติดนี้ก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน

ผมไม่ได้ยุยงส่งเสริมให้คนเสพยาเสพติด เพราะผมเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษ ไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ หากดื่มมากก็มีโอกาสเป็นโรคติดเหล้า (alcoholic) ตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่หากดื่มแต่พอดีก็ทำให้กระชุ่มกระชวย เลือดลมแล่นดี มีความรื่นรมย์ กัญชายาเสพติดก็เช่นเดียวกัน หากทำให้ถูกกฎหมายแล้วควบคุมปริมาณการซื้อการเสพมีผลดีต่อจิตประสาท แต่แน่นอนว่าหากเสพจนเกินขนาดก็มีผลต่อร่างกายและจิตใจมีโอกาสเป็น “ผีบ้ากัญชา” หรือ “ขี้ยา”เช่นกัน

หากปล่อยให้สถานการณ์การต่อสู้กับยาเสพติดยังคงเป็นไปในรูปแบบปัจจุบันแล้วไซร้ งบประมาณทุ่มลงไปเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้  เรือนจำสร้างเท่าไหร่ก็ไม่พอขัง มีเจ้าพ่อเจ้าแม่เพิ่มขึ้นมากมาย มีการทุจริต     คอร์รัปชันเพิ่มขึ้นทุกวัน ต่อให้มี ปปช.กี่ชุดๆก็ไม่มีทางเอาอยู่

เราคงต้องกลับมาพิจารณากันให้ละเอียดถ่องแท้แล้วละครับว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เราทำๆ กันอยู่นี้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกทางหรือไม่ เพราะแทนที่จะเป็นการแก้ปัญหากลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้หนักหนาสาหัสขึ้นทุกวันๆ

ไม่ลองไม่รู้นะครับ บางปัญหาก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา ซึ่งผมก็เชื่อว่าปัญหายาเสพติดนี้ก็เป็นปัญหาเส้นผมบังภูเขาเช่นกัน แน่นอนว่าคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในการถกเถียงหรือการประชุมในคราวเดียว แต่อย่างน้อยก็เป็นการริเริ่มที่จะเปลี่ยนแนวทางซึ่งอาจจะสำเร็จก็ได้ ใครจะรู้ใช่ไหมครับ

หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เพื่อเอาหนามออก ครับ

--------------

หมายเหตุ  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2559