จรรยา ยิ้มประเสริฐ
แม้ว่าในขณะนี้ฝ่ายข้อมูลของงานสัมมนาวิชาการ
"ทหารกับการลงประชามติ" จะยังไม่สามารถถอดเทปและแปลเอกสารงานสัมมนานี้ได้หมด
แต่ผมก็มีเรื่องที่อยากเขียนถึงงานสัมมนาครั้งนี้ ที่มหาวิทยาลัยบอนน์ เยอรมัน
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน
2559 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อมีแนวร่วมคนรักเจ้าประมาณ 20
คน เข้าร่วมฟังการสัมมนาด้วย ตั้งแต่เช้า
ทั้งในเวทีใหญ่และในเกือบทุกเวทีย่อย
ก่อนอื่นผมเสนอว่าเราหัดมาเริ่มสื่อสารกับสังคมกันอย่างไม่ปิดตาข้างเดียวกันดีกว่านะ
เพราะการพบปะหน้าตากันของพวกเราที่ยุโรปอาจจะเป็นจุดเริ่มที่ความขัดแย้งระหว่างค่ายสีการเมืองในประเทศไทย อาจจะบรรเทาเบาบางลงไปก็ได้
ผมจึงขอเขียนถึงเหตุการณ์ครั้งนี้จากมุมมองที่ผมรับรู้และประสบการณ์ตรงดังต่อไปนี้
ประเด็นแรก จากสื่อ 'แนวหน้า' ทำให้เราคนไทยได้เห็นหน้าค่าตาชาวกปปส. ที่ยุโรป แต่การเป็นสื่อ
สื่อแนวหน้าก็สมควรถูกประณาม ที่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลอีกด้าน
เช่นที่สื่อที่มีจรรยาบรรณสมควรจะทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรเจ้าภาพที่จัดงานนี้ คือ
ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของมหาวิทยาลัยบอนน์ และมูลนิธิเอเชียเฮ้าท์
ที่เป็นที่รู้จักมาหลายสิบปีทั่วโลก
ในฐานะองค์กรศึกษาและรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย จึงเป็นสองสถาบันฯ หลักในประเทศเยอรมัน ที่ถือได้ว่ามีความเข้าใจการเมืองในภูมิภาคเอเชียอย่างลึกซึ้ง
แต่สื่อแนวหน้ากลับไม่ให้ความเคารพหรือปรับท่วงทำนองภาษาที่แสดงความเคารพองค์กรเจ้าภาพแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยังทำหน้าที่โหมกระพือปั่นกระแสความเกลียดชั่งยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการย้ำเรื่อง
"จาบจ้วงสถาบันฯ" กันถึงสองถึงสามครั้งในเนื้อข่าวเพียงไม่กี่ย่อหน้า
ประเด็นที่สอง สื่อแนวหน้าไม่ใส่ใจที่จะลงรายละเอียดว่า
สถานฑูตไทยที่ประเทศเยอรมัน เป็นคนขออนุญาตให้ชาว กปปส.
มายืนประท้วงคนเสื้อแดงที่หน้ามหาวิทยาลัยบอนน์เป็นเวลาสองชั่วโมง
จุดประสงค์ของชาว กปปส. ไม่ใช่มาบอกเล่ากับคนเยอรมันว่าพวกเขาสนับสนุนเผด็จการ
คสช. แต่ เพื่อมาถือป้ายว่าตัวเองสนับสนุนเผด็จการ
โชว์ให้คนไทยเสื้อแดงเท่านั้นได้เห็น
เพราะรู้ว่าถ้าเดินขบวนประท้วงกลางเมืองโชว์ป้ายเราสนับสนุนเผด็จการทหาร
ก็คงจะถูกคนเยอรมันโห่ไล่
ซึ่งต่างจากเจตนารมณ์ของการขออนุญาตเดินขบวนของคนเสื้อแดงในยุโรป
มีเส้นทางเดินที่ขออนุญาตไว้ชัดเจนจากทางตำรวจที่บอนน์
โดยจะออกเดินจากหน้ามหาวิทยาลัยบอนน์ ผ่านย่านการค้ากลางเมือง
แล้วไปสิ้นสุดที่สถานีรถไฟ เป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
เนื่องจากกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นมีจำนวนมากกว่าอย่างชัดเจน
ถึงร่วม 200 คน
ในขณะที่ชาวกปปส. มีประมาณ 30 คน
ตำรวจจึงไม่ต้องการให้มีปฏิกริยายั่วยุเกิดขึ้นได้ จึงได้ขอให้ชาว กปปส.
ย้ายที่ยืนประท้วงคนเสื้อแดงออกไปซะไกล จนคนเสื้อแดงไม่เห็นเลยว่ามีชาว กปปส.
มาถือป้ายประท้วงพวกเขา นอกจากได้ยินคำบอกต่อกันมาจากทีมงาน
ที่ไปสังเกตการเจรจาระหว่างตำรวจและชาว กปปส.
มันเป็นเรื่องการขอร้องกันดีๆ จริงๆ ครับ
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ที่ชาว กปปส. ที่ใหญ่คับบ้านคับเมือง
และคับกรมตำรวจในประเทศไทย กลับอยู่ในปฏิกริยาเรียบร้อยอ่อนน้อมถ่อมตน
เมื่อต้องเจรจากับตำรวจเพียงคนเดียวที่ไม่ได้พกพาอาวุธอะไรที่เมืองบอนน์
เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้ากฎหมายไทยเป็นกฎหมาย
และกระบวนการนิติธรรมไทยเป็นกระบวนการนิติธรรม
โดยที่ไม่มีการประนีประนอมกับชาวรอยัลลิสต์ที่เมืองไทย เหตุการณ์รัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557 ก็คงอาจจะไม่เกิดขึ้น
และพวกคนที่ถูกตราหน้าว่า "พวกหนีดคีมาตรา 112” ก็อาจจะมีชีวิตปกติที่เมืองไทย
และเข้าร่วมการสัมมนาเช่นที่มหาวิทยาลัยบอนน์จัดได้อย่างสบายใจที่ประเทศไทย
ประเด็นที่สาม ชาวกปปส.
มีความกล้าหาญในระดับหนึ่งทีเดียว
ที่แม้จะรู้ว่าเวทีนี้เป็นเวทีวิชาการที่จะมีมวลชนคนเสื้อแดงจากยุโรปมาเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก
แต่ก็กล้าที่จะมายังงาน พร้อมผูกโบว์พาดหัวลายธงชาติสัญลักษณ์ กปปส. มากันก็ตาม
และพวกท่านก็มีความเป็นสุภาพชนพอสมควร ขอบคุณครับ ซึ่งผมก็เห็นการปฏิบัติต่อชาว
กปปส. ด้วยความเคารพในสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของทั้งผู้ดำเนินรายการในเวที
และผู้เข้าร่วมสัมมนาชาวเสื้อแดงเช่นกัน
แม้ว่าจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรกันอยู่บ้างเมื่อเห็นหน้ากันตอนแรก
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เมื่อมองจากมุมมองทางประวัติศาสตร์การยืนอยู่ขั้วตรงข้ามการเมืองกันมาอย่างยาวนานนับสิบปีของกลุ่มคนสองค่ายการเมืองเหลืองแดงนี้
ในทุกเวทีที่พวกท่านได้เข้าร่วม ท่านก็ได้ใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
จนบางเวทีเนื่องด้วยเวลาการเสวนาจำกัด ชาว กปปส.
ก็ได้ผูกขาดช่วงสนทนาแลกเปลี่ยนไปในการตอบคำถามของชาว กปปส. จนหมดเวลา
ผมก็หวังจริงๆ นะครับว่า
หลังจากที่พวกท่านเฝ้าถามคำถามชุดเดียวกันนี้มาตลอดสิบปี อาทิ
ทำไมต้องวิจารณ์สถาบันกษัตริย์? ประเทศอื่นก็มีกฎหมายหมิ่นฯ ที่จับคนเข้าคุกได้
แล้วมันต่างจากมาตรา112 อย่างไร? ผมก็หวังว่าพวกท่านจะได้ความกระจ่างไปบ้างจากเวทีงานสัมมนาที่บอนน์ครั้งนี้กันบ้างนะครับ
อ้อ! ผมดีใจมากจริงๆ ที่มีคำถามเปิดจากฝั่งท่านถามมาว่า
จะปฏิรูปมาตรา 112 ได้อย่างไรบ้าง?
ประเด็นที่สี่ ผมคิดว่าลึกๆ
พวกท่านก็รู้ดีว่าการดันทุรังต้องหนุน คสช.
ด้วยข้ออ้างว่าเพราะทหารเป็นของพระราชานั้น มันฟังไม่ขึ้น
ไม่ใช่เฉพาะแม้แต่ในหมู่คนไทย แต่แม้ในหมู่คนต่างชาติ ผมสังเกตุเห็นว่าพวกท่านจะถือป้าย
"เราสนับสนุน คสช." กันมาด้วย แต่ก็ทำกันมาแบบกระมิดกระเมี้ยน
และผมก็ไม่เห็นรูปท่านถือโชว์ป้ายนี้ในสื่อแนวหน้าที่เผยแพร่ข่าวของท่านแม้แต่น้อย
แต่ในขณะที่ขบวนเสื้อแดงถือป้ายกันพรึบพับ
และได้รับการนำขบวนจากอาจารย์มหาวิทยาลัยบอนน์เจ้าภาพ ที่ช่วยนำปราศรัยเป็นภาษาเยอรมันเพื่อสื่อสารกับคนเยอรมัน
ตลอดเส้นทาง ขบวนของคนเสื้อแดงพากันตะโกน "เราต้องการประชาธิไตย"
“เราไม่เอาเผด็จการทหาร" ทั้งภาษาไทยและภาษาเยอรมัน ตลอดการเดินร่วมชั่วโมง
ผ่านคนเยอรมันมากมายที่ยืนดูขบวนของพวกเราด้วยความใส่ใจ
ประเด็นสุดท้าย (เอาแค่นี้ก่อน) ผมย้ำเสมอว่า
ประเทศไทยมี 65 ล้านคน 40 กว่าชาติพันธุ์และภาษา
และนับสิบศาสนา มีคนหลากหลายเพศ ทัศนคติแบบ "ไม่รัก...” ต้องไปอยู่ที่อื่น
หรือไปตายที่ไหนก็ไปนั้น ไม่อาจนำมาซึ่งสันติสุขสู่ประเทศไทยได้ และในท้ายที่สุด
ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงหรือคนชายขอบเท่านั้นที่ต้องแบกรับผลกระทบ
แต่พวกท่านชาวกปปส. เองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้เช่นกัน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านที่อยู่ในต่างแดนในยุโรปเช่นนี้
ก็คงจะต้องทำหน้าที่เป็นธนาคารให้กับครอบครัวในเมืองไทยกันจนคางเหลือง
เพราะไม่อาจปล่อยวางให้ครอบครัวในเมืองไทยต้องทุกข์ทนกับความยากลำบากเดือดร้อนได้ตามลำพัง
ซึ่งแนวโน้มและเค้ารางแห่งหายนะในประเทศไทย
ผู้คนที่ศึกษาเรื่องการเมืองไทย ต่างก็สามารถคาดการณ์เรื่องวิกฤตต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยกันได้ทั้งนั้น
พวกเขาแม้จะเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่ต่างประเทศ ก็ยังไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้ประเทศไทยต้องเผชิญหายนะเช่นนั้น
จึงได้เปิดพื้นที่แห่งมหาวิทยาลัยให้ใช้เป็นพื้นที่แห่งการพูดคุยแลกเปลี่ยน
ถกเถียง จากทุกกลุ่มค่ายการเมือง
เพื่อหวังว่ามันจะช่วยชี้ทางออกจากการเมืองเขาวงกตของประเทศไทยได้
ด้วยประการฉะนี้
ผมจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยลัยบอนน์
มูลนิธิเอเชียเฮาท์
และกลุ่มนักกิจกรรมชาวไทยที่เยอรมันที่ร่วมกันจัดงานที่บอนน์ออกมาจนลุล่วงไปด้วยดี
ขอบคุณครับ
เราไม่ต้องรักกันก็ได้ เราเกลียดกันก็ได้
แต่เราคงต้องรู้จักอดทนอดกลั้นและอยู่ร่วมกันไปอย่างสันติให้มากที่สุด นะครับ!!!