วันพุธ, มิถุนายน 01, 2559

เครือข่ายปฏิรูปของขึ้นกันใหญ่ วันก่อนไกรศักดิ์ วันนี้หมอประเวศ

อะฮ้า เครือข่ายปฏิรูปของขึ้นกันใหญ่ วันก่อนไกรศักดิ์ วันนี้หมอประเวศ เฉาะโชะ คสช. ให้บ้าง ไม่ถึงกับดังโพละก็เถอะ

“การใช้อำนาจทำงานจะแก้ปัญหาได้น้อย เพราะประเทศไทยควรทำงานระบบโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันในการปฏิบัติ”

ลงลึกรายละเอียดต่อไปว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังไม่มีความเข้าใจกลไกการทำงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่นับเป็นเครื่องมือปฏิรูป แต่กลับไปฟังเสียงของบุคคลบางคนเพื่อทำลายองค์กรเหล่านี้

เมื่อพิสูจน์แล้วว่าข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่นไม่เป็นความจริง ตรงนี้ก็ทำให้รัฐบาลเสียแนวร่วมไป”

ปฏิกิริยาจึงเกิดทันควัน ไม่ใช่มาจากฝ่ายเหลืองหรอกนะ (เรื่องอย่างนี้พวกนั้นเขายังต้องไว้เชิงเล็กน้อย ค่อยดูไปอีกหน่อย) แต่จากฝ่ายแดงเนี่ยเอง

หมอเหวง ซึ่งเป็นแกนนำ นปช. สำคัญคนหนึ่ง “โพสต์แสดงความเห็น” ว่าท่านผู้เป็นตะเกียงนำทางแห่ง ‘ตระกูล ส.’ “เพิ่งดวงตาเห็นธรรม”

ในประเด็นที่ นพ.ประเวศ วะสี กล่าว “ในงานครบรอบ ๑๒๐ ปีแห่งชาตกาลพระบำราศนราดูร ในหัวข้อบนเส้นทางสร้างสุขภาพเพื่อคนไทยทั้งหมด เมื่อวันที่ ๒๗ พ.ค.ที่ผ่านมา” ว่า

“ในอนาคตกองทัพอย่าเข้ามายึดอำนาจหรือบริหารประเทศ ควรปล่อยให้กระบวนการรัฐสภาแก้ปัญหาทำงานไป”

การนี้ นพ. เหวง โตจิราการ บอกว่า “งุนงงสงสัย และเกิดความฉงนสนเท่ห์ว่า หมอประเวศปาฐกชื่อดังทางด้านธรรมะ ทางด้านแก้ไขปัญหาของประเทศและสังคมด้วยหลักคุณธรรมจริยธรรมอันสูงส่ง เพิ่งเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นในยุค คสช.ได้อย่างไร”

“และที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ เหตุการณ์ฆ่าประชาชนจำนวนหนึ่งร้อยศพปี ๒๕๕๓ ผมไม่เห็นหมอประเวศออกมาแสดงความเห็นคัดค้านแต่ประการใด”

อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามยาวไม่ต้องตอบว่า “หรือ คสช.เข้าไปตรวจสอบการทำงานของตระกูล ส.เช่นนั้นหรือเปล่า??

ตระกูลส.อันเป็นกลุ่มพวกที่หมอประเวศมีบทบาทสำคัญไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมในการผลักดันให้เกิดขึ้น และเป็นกลุ่มพวกทีมีอำนาจในทางสาธารณสุขอย่างมากมาย จนแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มองค์กรที่มีอำนาจทางการเมืองที่ไม่อาจจะมองข้ามได้อีกแล้ว

พอ คสช.เข้าไปแตะนิดแตะหน่อย ก็เลยทำให้หมอประเวศไม่พอใจหรือเปล่า”

อันนั้นเราไม่ทราบแน่ แต่ที่รู้จาก ‘ไทยรัฐ’ บอก “วงเสวนาเผย สสส.อยู่ในภาวะย่ำแย่ จ่อโดนตัดงบทำกองทุน สสส.วิกฤติหนัก”

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผอ.ศูนย์พัฒนากำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ กล่าวในการเสวนาเรื่อง ‘นวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาพไทยในยุคปฏิรูป’ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวาน

“ตอนนี้ ครม.กำลังจะปรับแก้ระเบียบงบประมาณจากภาษีเหล้าบุหรี่ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามแล้วว่าจะแก้ พ.ร.บ.กองทุน สสส. นำเข้า สนช. เพราะไม่อยากให้มีงบมากเกินไป หรือต้องน้อยกว่า ๔ พันล้านบาท”

การอภิปรายครั้งนี้จึงเน้นที่ “ขณะนี้คนไทยมีสุขภาพแย่ มีคนเป็นโรคเบาหวานเพิ่ม 1.5 ล้านคนต่อปี งบของ สสส.รัฐไม่ควรปรับลดลง ต้องรักษา สสส.ไว้” จากคำปาฐกถาของ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

หรือจาก นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ที่บอกว่า “สิ่งสำคัญที่จะปฏิรูปสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จคือการปรับกลไกภาษีที่ คสช.ต้องมองภาพกว้าง ในสหภาพยุโรปแนวโน้มเก็บภาษีกิจกรรมกระทบสิ่งแวดล้อมและทำลายสุขภาพเพิ่มขึ้นตลอดเวลา”

นั่นน่ะ เป็นอีก ‘ตอผุด’ ของอุบาทการณ์ ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง ‘นั่งห้าง’ ให้ คสช. เข้ามากำอำนาจครบสองปี

และนี่จะเป็นดั่ง ‘ย้อนรอย’ อุปมาอุปมัยของ ‘มติชนออนไลน์’ (http://www.matichon.co.th/news/152969
) ที่ว่า “กรณีของวัดพระธรรมกาย ก็เหมือนกับกรณีของ สปสช. และกรณีของ สสส. นั่นแหละ” หรือไม่ ต้องลองดูกัน

คดีธรรมกาย หรือโดยตรงต่อหลวงพ่อธัมมชโย ที่ ‘บีกต๊อก’ ออกมาปฏิเสธเรื่อง “มีกระแสข่าวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อรองเป็นเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อจบคดีนี้” ว่า

“เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น...เชื่อมโยงกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ คลองจั่น

หากท่านไม่มีความผิดก็เข้าไปต่อสู้ในชั้นอัยการ ชั้นศาล ซึ่งก็เปิดกว้างอยู่แล้วในเรื่องเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมาเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นและให้กลายเป็นประเด็น”

หากแต่ ถ้าย้อนไปดูคดีความของสหกรณ์คลองจั่น ที่มันเริ่มมาจากกรณีนายศุภชัยยักยอกเงิน ๒๗.๔ ล้าน ซึ่งก็ได้ใช้คืนหลังจากที่ถูกจับได้ และแน่นอนว่าเขาต้องรับผิดในคดีอาญาต่อไป

ในขณะที่สหกรณ์ตามเก็บเงินขององค์กรที่นายศุภชัยเที่ยวไปถลุงบริจาคให้วัดธรรมกาย ซึ่งจำนวนหนึ่งพัวพันอยู่ในบัญชีส่วนตนของเจ้าอาวาส ด้วยการยื่นฟ้องทางแพ่ง อันเป็นผลให้ศิษยานุศิษย์ธรรมกายระดมทรัพย์กันไปจ่ายคืนให้สหกรณ์ ๖๘๔.๗๘ ล้านบาท เป็นที่พอใจ โดยการประนอมยอมความ

และได้มีการแถลงแยกองค์กรออกจากผู้ฟ้องร้องพระเทพญาณมหามุนีในข้อหาสมคบฟอกเงินและรับของโจร ว่าเป็นการกระทำส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับสหกรณ์ (http://thaipublica.org/2016/05/credit-unions-klongchan-88/)

ทว่าการไล่ล่าเพื่อที่จะเอาตัวพระธัมมชโยไป indicted ประทับรับฟ้องดำเนินคดี ยังกับหน่วยเนวี่ซีลสหรัฐปฏิบัติการจู่โจมจับตายบินลาเด็น หลังจากพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แถลงว่าถ้าพระธัมมชโยยังไม่ไปมอบตัวเองก็จะใช้กำลังเข้าทำการจับกุมนั้น

เป็นการออกอาการเกินกว่าเหตุที่ พล.อ.ไพบูลย์อ้างว่า “ไม่ได้เจาะจงการดำเนินคดีเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง”

ผู้ติดตามรายละเอียดเรื่องนี้ทราบกันว่า ทนายของวัดธรรมกายขอผ่อนผันการไปปรากฏตัวรับคำฟ้องร้องที่ดีเอสไอเนื่องจากพระธัมมชโยมีอาการป่วยหนักขาบวมดำ (ซึ่งสมาชิกธรรมกายไม่น้อยเชื่อว่าเกิดจากการวางยาพิษตั้งแต่ครั้งไปมอบตัวรับฟังข้อกล่าวหาครั้งแรก)

แม้กระทั่งมีการต่อรองขอพบกันครึ่งทางโดยไปมอบตัวที่สถานีตำรวจ ดีเอสไอก็ไม่ยอม (นัยว่าอ้างป่วยเสแสร้ง) จากนั้นมีการยื่นคำขาดจาก ‘บิ๊กต๊อก’ คสช. อีก ทำให้มีการจัดเตรียมพาธัมมชโยขึ้นรถตู้ไปมอบตัว กลับเกิดเหตุเจ้าอาวาสวัดธรรมกายมีอาการป่วยกะทันหันแบบ Vertigo หัวหมุนวิงเวียนและอาเจียน ซึ่งคณะศานุศิษย์แจ้งว่าทำให้ไม่สามารถเดินทางไปฟังการกล่าวโทษได้

เหล่านี้เป็นเหตุการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง ท่ามกลางทฤษฎี conspiracy สมคบคิดต่างๆ รวมทั้งที่ว่านั่งห้าง คสช. และฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร มีแผนการล้มล้างวัดธรรมกายที่มีเครือข่ายกว้างขวางเสียยิ่งกว่า ‘ตระกูล ส.’

ด้วยการจุดไฟจุ้นวุ่นของพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ เที่ยวฟ้องโน่นฟ้องนี่ ทั้งที่ตนเองยังต้องคดีใช้ความรุนแรงล้มเลือกตั้ง มุ่งหมายกีดกันไม่ให้สมเด็จช่วง พระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราช ไม่ให้ได้รับแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่

การนี้จึงเป็นเรื่อง ‘เข้าไคล้’ ดังมติชนออนไลน์ปักหมุดปุจฉาไว้ว่า “ตกที่นั่งลิงแก้แห” ไม่เฉพาะกรมสืบสวนคดีพิเศษ มันรวบยอดไปถึง คสช. โดยรวมด้วย จนบิ๊กต๊อกต้องออกมาแก้ตัวยืดเยื้อยาวเหยียด

เพราะเมื่อบวกกรณี สปสช.และ สสส. ที่หมอประเวศบอกว่า “รัฐบาลพยายามบังคับหน่วยงานต่างๆ ว่าควรทำงานอย่างไร ทั้งๆ ที่ตัวเองเพิ่งเข้ามา ถามว่าจะรู้เท่าคนที่ทำมานานได้อย่างไร”

ฉะนั้นถ้าบอกว่าช่วงนี้ คสช. เจอ self-inflicted wound ปืนลั่นใส่ตีนตัวเอง ก็น่าจะได้ จนทำให้การเดินสายเยือนจังหวัดต่างๆ ในโครงการ ‘๕ เหตุที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องมาจังหวัดฉัน’ เป็นที่กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่

ซึ่งเป็นคนละเรื่อง (แต่แท้จริง) เดียวกัน ดังคอมเม้นต์ของ Jonathan Head @pakhead บนทวีตภพ ว่า

“She can still wow a crowd. No mention of politics or referendum on this trip, but this still felt very political.” (เธอยังเรียกความตื่นเต้นจากมวลชนได้เยอะ แม้ไม่ได้พูดถึงการเมืองเลยสักนิด ก็ยังรู้สึกเหมือนสัมผัสการเมืองตรงๆ)

ในการไปเที่ยวบึงกาฬ จังหวัดที่ ๗๗ ของไทยเมื่อวาน เจ้าตัวอดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองดูเริงร่าครื้นเครงกว่าครั้งใดๆ


ไม่เชื่อดูคลิปhttps://www.facebook.com/343768838979818/videos/vb.343768838979818/1106070412749653/?type=2&theater