อย่างที่ฝ่ายค้านว่าไว้จริงๆ ด้วย ‘อุ๊งอิ๊ง’ เข้ามารับช่วงงานรัฐบาลตอนเศรษฐกิจกำลังจะแย่พอดี กลายเป็นว่า ‘เศรษฐา’ ทิ้งขยะไว้ให้สะสาง ใช้เงิน (๕๐ ล้าน) ท่องโลกขายตรง ใช้เวลา ๑ ปี คิดค้นโปรเจ็ค ไม่ได้อะไรเป็นเป็นชิ้นเป็นอันสักนิด
วันนี้ (๒๑ ส.ค.) สภาพัฒน์ฯ เผย การลงทุนภาคเอกชนของไทยติดลบ (-๖.๘%) เป็นครั้งแรกในรอบ ๑๐ ไตรมาส นักวิจัยเศรษฐกิจสำนักต่างๆ ปริวิตกเป็นเสียงเดียว เจอขาลง “ซึมลึก-ซึมยาว” รวมทั้งการลงทุนภาครัฐก็ยังหดไปด้วย
ไหนจะอสังหาฯ ชะลอตัวหนัก สอดคล้องกับการลงทุนด้านเครื่องจักรชงักแรง พร้อมไปกับสถาบันการเงินไม่มีความมั่นใจต่อการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ กังวลมากเรื่องหนี้เสีย แถมการบริโภคเริ่มชะลอตัวด้วยเหมือนกัน
เหมือนว่าทุกอย่างในทางเศรษฐกิจเป็นความท้าทายฝีมือของนายกฯ หญิงคนใหม่ ได้พิสูจน์ดีเอ็นเอของบิดา สภาพัฒน์ฯ เองบอกว่าภาครัฐต้องเร่งการลงทุนเพื่อมาดึงภาคเอกชน หลังจากที่ติดลบไป ๔.๓% เพิ่งเริ่มฟื้น คาดว่าทั้งปีจะหดแค่ ๐.๗%
กลุ่ม ‘อีไอซี’ ของธนาคารไทยพาณิชย์มีข้อเสนอแนะ ต้อง “การลงทุนมากกว่าการบริโภค เพราะการลงทุนยังคงติดลบต่อเนื่อง เราไม่ต้องการการบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่ต้องการรายได้ที่เพิ่มขึ้น ที่มาจากการจ้างงานมากขึ้น” แล้วอย่างนี้ดิจิตอลวอลเล็ตจะยังจำเป็นไหม
ด้านสำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ว่า “จะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งไม่เพียงเฉพาะแค่นักลงทุนรายใหญ่ แต่จะเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีระดับกลางและล่าง เนื่องจากกลุ่มนี้มีความกังวลในเรื่องของตลาดโลกและผลกระทบจากสินค้าจีน”
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร บอกว่า “ต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งสำคัญมาก เพราะบุญเก่าของประเทศไทยหายไปแล้ว” กับ “ต้องแก้เรื่องความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิต
ซึ่งการมีมาตรการระยะยาว ก็จะดีกว่าการเอาเงินมาแจก การลงทุนอาจจะเห็นผลช้า กว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจต้องใช้เวลา แต่ต้องทำเพื่ออนาคต” และ “ก็ต้องดูว่าทำไมคนที่เราไปชวนมาลงทุน เขาไปมาเลเซียกันหมด”
ดังนั้นคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จึงเตรียมข้อเสนอไว้ยื่นต่อรัฐบาลใหม่ ๓ เรื่อง ได้แก่ พัฒนา Ecosystem ดึงการลงทุนเชิงรุก โดยเน้นอุตสาหกรรมต้นน้ำ ๒ สาขา กับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๕ สาขา
ข้อสำคัญ “ขอให้ออกมาตรการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการไทย ให้ยกระดับประสิทธิภาพและมาตรฐานโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างโอกาสการร่วมทุน และผลักดันให้เข้าไปอยู่ใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่”
เหล่านี้น่าจะอยู่ในดีเอ็นเอของ แพทองธาร แล้วนะ สมกับที่ประชาสัมพันธ์กันมานมนาน ว่าเรื่องเศรษฐกิจต้องให้ ‘ชินวัตร’ จัดการ