วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 29, 2567

อดีตลามะน้อยที่พระธิเบตเชื่อว่า เป็นพระอาจารย์กลับชาติมาเกิด สึกมาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง หลังตอนอายุ 18


ลามะโซปาพบกับโอเซลตอนที่เขามีอายุได้ 14 เดือน และ 4 เดือนหลังจากนั้น โอเซลก็ย้ายไปอยู่ที่วัดในอินเดีย

28 สิงหาคม 2024
บีบีซีไทย

ในตอนที่โอเซล ตอร์เรส เด็กน้อยชาวสเปนมีอายุได้เพียง 2 ขวบ องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตทรงแสดงการยอมรับว่า โอเซลคือการกลับชาติมาเกิดของพระลามะผู้เป็นคุรุหรือพระอาจารย์คนสำคัญ ทำให้เขาได้ขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์ในพิธีแต่งตั้งที่มีผู้เข้าร่วมหลายพันคน

อันที่จริงแล้ว โอเซลเป็นบุตรชายของฟรานซีสโก อีตา และมาเรีย ตอร์เรส สองบุปผาชนที่ละทิ้งบ้านเกิดบนเกาะอีบิซา สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังระดับโลกของสเปน เพื่อเข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ก่อนที่โอเซลจะเกิดมาในปี 1985

หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ลามะทุบเตน เยเช พระเถระในนิกายวัชรยานของทิเบตได้มรณภาพลง ลามะเยเชนั้นมีจริยวัตรที่ผิดแผกแตกต่างจากพระลามะชาวทิเบตโดยทั่วไป เพราะท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ชาวตะวันตก ในฐานะที่เป็นผู้เผยแผ่คำสอนของพุทธศาสนาแบบทิเบตไปทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1970 โดยได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมขึ้นหลายแห่งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา


ลามะน้อยถูกแยกออกจากพ่อแม่ จนแทบไม่มีความผูกพันทางใจระหว่างกัน

ด้วยความเชื่อของนิกายวัชรยานที่ว่า พระลามะที่เป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมรณภาพไปแล้วนั้น สามารถจะเลือกกลับชาติมาเกิดกับใครก็ได้ในทุกสถานที่ ทำให้ลามะโซปาผู้เป็นศิษย์เอกของท่านซึ่งได้เห็นนิมิตบางอย่าง เชื่อว่าพระอาจารย์จะต้องกลับชาติมาเกิดเป็นชาวตะวันตกอย่างแน่นอน และได้ระบุว่าเด็กชายโอเซลคือชีวิตใหม่และร่างใหม่ของลามะเยเช

ต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตที่ผกผันอย่างไม่น่าเชื่อของโอเซล ซึ่งเขาเขียนเพื่อบอกเล่าให้โลกรู้จากมุมมองของตนเอง

ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1970 ลามะเยเชและลามะโซปาได้เดินทางมายังเกาะอีบิซาของสเปนและได้พบกับพ่อแม่ของผม พ่อกับแม่บังเกิดศรัทธาซาบซึ้งในคำสอนของพวกท่านมาก จนตัดสินใจย้ายมาอยู่ทางตอนใต้ของสเปน เพื่อศึกษาพุทธศาสนาในศูนย์ปฏิบัติธรรมของที่นั่น ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาลาอัลปูฮาร์รา

ลามะทั้งสองได้เชิญให้องค์ดาไลลามะเสด็จมาเยือนศูนย์ปฏิบัติธรรมดังกล่าว ซึ่งเมื่อผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตได้เห็นสถานที่สัปปายะแห่งนี้ ก็ตรัสว่าทรงประทับใจอย่างยิ่ง เพราะดูคล้ายกับบ้านเกิดเมืองนอนที่ทิเบตไม่มีผิด

ผมเกิดมาในช่วงหลายปีหลังจากนั้น และเมื่อลามะโซปาได้เห็นผมตอนยังนอนแบเบาะ ท่านก็บอกกับพ่อแม่ผมว่า เด็กคนนี้คือลามะเยเชกลับชาติมาเกิด

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมต้องเดินทางไปอินเดียในตอนที่มีอายุได้เพียง 18 เดือน เพื่อเข้ารับการทดสอบครั้งสำคัญที่จะชี้ขาดว่า ผมคือลามะเยเชที่กลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่

พวกเขาเอาสิ่งของหลายชิ้นออกมาให้ผมเลือก โดยในนั้นมีทั้งของใช้ของลามะเยเชและของคนอื่นปะปนกันอยู่ แต่ผมก็สามารถเลือกของชิ้นที่ถูกต้องได้เสมอ นอกจากนี้ ผมยังสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างน่าประหลาด โดยรู้จักคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนและรู้จักสถานที่ที่ไม่เคยไปอีกด้วย

สามปีหลังจากนั้นผมต้องเดินทางท่องโลกอยู่เสมอ เพื่อไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ลามะเยเชก่อตั้งขึ้นในหลายประเทศ จนเมื่อผมอายุได้ 6 ขวบ พวกผู้ใหญ่จึงพาผมไปที่วัดเสราเจซึ่งอยู่ในรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย เพื่อเริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังในหลักสูตรที่เป็นทางการ

แต่เหล่าผู้คนซึ่งรับหน้าที่ดูแลผมมักหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปอยู่เสมอ และผมมีโอกาสพบกับพ่อแม่น้อยมาก จนผมแทบไม่มีความผูกพันทางใจกับพวกท่าน และคิดว่าตัวเองเหมือนกับเด็กกำพร้ามากกว่า

ผมรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่มีใครยอมรับตัวตนที่แท้จริงของผม เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจากคนรอบข้าง ผมต้องพยายามสวมบทบาทเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นปมความขัดแย้งในใจที่ใหญ่มากสำหรับผม

อิทธิพลของลิงคินพาร์ก

แรงกดดันนั้นรุนแรงมหาศาลจนแทบบ้า มันเป็นชีวิตที่ยากลำบากมากสำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ในบางครั้งผมจะได้เล่นกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง แต่เพื่อนชั่วคราวเหล่านี้จะเปลี่ยนหน้าไปอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสตัวผมหรือเข้ามาใกล้ชิดกับผมมากนัก

พวกผู้ใหญ่พยายามแยกผมให้อยู่โดดเดี่ยวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเชื่อว่าพระอาจารย์ที่กลับชาติมาเกิดจะมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป หากได้รับอิทธิพลจากคนแปลกหน้าที่เข้ามาคบหาสมาคมด้วย และเนื่องจากผมถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาเป็นพระลามะ ผมจึงต้องถือเพศพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิตและไม่อาจมีคู่ครองได้

ผมต้องนั่งสงบนิ่งบนธรรมาสน์อย่างโดดเดี่ยว และแยกตัวจากทุกคนโดยสมบูรณ์ มีช่วงเวลาเพียง 40 นาทีในแต่ละวัน ที่ผมสามารถจะพบกับคนที่อยากเจอได้ และนั่นคือการติดต่อกับโลกภายนอกวัดเพียงช่องทางเดียวของผม

อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนจากนอกวัดได้นำเอา “สิ่งต้องห้าม” อย่างเช่นเสียงดนตรีเข้ามาฝากผมด้วย ตอนนั้นผมมีแผ่นซีดีของวงลิงคินพาร์ก, วงลิมป์บิซกิต, และอัลบั้มของเอสโตปา โดยผมจะแอบฟังในห้องนอนหรือห้องน้ำ และต้องซ่อนมันเอาไว้อย่างดีเพราะหากถูกจับได้ก็จะโดนยึดไปทันที


โอเซลถูกเลี้ยงดูมาในฐานะพระเถระผู้สั่งสอนชาวตะวันตกที่กลับชาติมาเกิด

ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงของลิงคินพาร์ก ผมคิดทันทีว่า “นี่ไม่ใช่ดนตรี มันก็แค่เสียงรบกวนต่างหาก”

แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจเนื้อหาของเพลงมากขึ้น มันพูดถึงความต้องการของมนุษย์ที่อยากให้คนอื่นเข้าใจ อยากได้การยอมรับ และอยากจะเป็นที่รัก ผมรู้สึกว่าเนื้อเพลงกระทบโดนใจเข้าอย่างจัง และเหลือเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมในตอนนั้นโดยไม่ผิดเพี้ยน

คนส่วนใหญ่ไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของผมว่าเป็นใครกันแน่ พวกเขาแค่ต้องการให้ผมเล่นตามบทบาทที่คาดหวังไว้ ซึ่งนั่นรวมถึงทุกคนรอบตัวผมและพ่อแม่ของผมด้วย

รู้จักอิสรภาพ

เมื่ออายุมากขึ้น ผมเริ่มแอบเอาสิ่งต้องห้ามเข้ามาในวัดมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นตอนที่อายุ 16 ปี ผมจึงมีคอมพิวเตอร์แล้ว 2 เครื่อง รวมทั้งกระสอบทรายและกีตาร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกและสังคมภายนอก

ผมกับเพื่อนสนิทที่เป็นการกลับชาติมาเกิดของลามะอีกรูปหนึ่ง ร่วมแบ่งปันสิ่งของต้องห้ามที่ลักลอบนำเข้ามาบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้เลยว่าการเต้นรำนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่งได้เห็นวิดีโอบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตของบริตนีย์ สเปียร์ มันทำให้ผมตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว

ตอนนั้นผมจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมบรรดาพระอาจารย์ว่า ผมจำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาแบบตะวันตกบ้าง ผมบอกพวกท่านว่า “ผมเกิดมาเป็นชาวตะวันตก มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นเพราะลามะเยเชต้องการจะเชื่อมสายสัมพันธ์กับชาวตะวันตกในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจถ่องแท้ถึงจิตวิทยาและวิถีชีวิตของพวกเขา”

ผมประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรอง จนได้ไปโรงเรียนและร่วมชั้นกับเด็กทั่วไปที่อีบิซาเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีพ่อแม่ตามไปดูแลด้วย สิ่งแรกที่ทำให้ผมช็อกก็คือเด็กวัยรุ่นที่นั่นไม่เคารพผู้ใหญ่เลย ทั้งที่ในวัฒนธรรมทิเบตแล้วพ่อแม่และครูอาจารย์มีฐานะสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่คือผู้ให้ชีวิต ในขณะที่ครูบาอาจารย์ให้ความรู้และภูมิปัญญา

เด็กคนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสตัวหรือใกล้ชิดกับโอเซลมากจนเกินไป

ในช่วงสามสัปดาห์แรกผมถูกรังแกทุกวันและตลอดเวลา แต่ผมก็มีความสุขมาก เนื่องจากคิดไปว่าตัวเองทำให้พวกเขาได้หัวเราะกันสนุกสนาน ในตอนนั้นเรียกได้ว่าผมใสซื่อบริสุทธิ์มาก จนไม่รู้ว่าการกลั่นแกล้งรังแกคืออะไร แต่พอผ่านไปอีกสองสัปดาห์พวกเขาต่างก็รักผม เพราะรับรู้ได้ว่าบุคลิกของผมไม่ได้มาจากการเสแสร้งแกล้งทำ

การได้ขี่รถจักรยานยนต์คือหนึ่งในการค้นพบแรก ๆ ของผม รู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระมาก สามารถจะไปไหนคนเดียวก็ได้ตามต้องการ

ผมได้จูบหญิงสาวครั้งแรกที่นั่น มันทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ผมมีความสุขมาก จนคล้ายกับว่าตัวลอยเท้าไม่ติดพื้นไปถึงสองสัปดาห์


องค์ดาไลลามะแสดงการยอมรับว่า โอเซลคือลามะเยเชที่กลับชาติมาเกิด

ชั่วขณะแห่งการรู้แจ้ง

หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ผมเริ่มตระหนักได้ว่าผมค่อนข้างจะหลงตัวเอง และมักจะยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งนิสัยแบบนี้ได้มาจากการเลี้ยงดูภายในวัด

ส่วนบรรดาน้องชายของผมนั้น พวกเขาพูดกับผมด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงที่แย่มาก ทั้งไม่อยากจะเล่นหัวหรือคลุกคลีกับผมอีกด้วย พวกเขาต่างเมินเฉยไม่สนใจผม แต่ในระหว่างพวกเขาเองแล้วกลับมีสายใยความผูกพันทางใจที่เหนียวแน่น เรื่องนี้กระทบกระเทือนใจผมอย่างมาก จนทำให้ผมคิดได้ว่าต้องพยายามออกจากสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยการค้นหาตัวเองและเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งค้นหาวิธีที่จะทำให้คนรอบข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผม

นั่นคือตอนที่ผมตัดสินใจว่า “จะไม่อยู่ในวัดไปจนตลอดชีวิต เมื่อไหร่ที่อายุครบ 18 ปี จะไม่มีใครหยุดยั้งผมได้ ผมจะเป็นอิสระ”


เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น โอเซลจึงรู้ว่าไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบพระลามะในวัด

แผนของผมคือการขออนุญาตเดินทางไปสเปนเมื่อมีอายุครบ 18 ปี ซึ่งผมจะบรรลุนิติภาวะและหลุดพ้นจากสังคมชาวพุทธได้ในตอนนั้น แต่เมื่อผมลงมือทำจริงตามแผนการที่วางไว้ คนที่ทิเบตพากันส่งจดหมายมากดดันให้ผมกลับวัดตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีเต็ม ซึ่งผมไม่อาจทำตามได้เพราะผมต้องการมีความสุข และผมรู้แล้วว่าความสุขของคนอื่นนั้นไม่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเลย ผมต้องมีชีวิตของตนเอง และนั่นคือสิทธิของผมที่ไม่มีใครจะมาตัดสินใจแทนได้


ลามะคือพระสงฆ์ผู้ชี้แนะทางจิตวิญญาณในพุทธศาสนาแบบทิเบต

พลิกชีวิตแบบหน้ามือเป็นหลังมือ


ตอนที่ผมออกจากวัด ผมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบสุดขั้ว จากความเคร่งครัดสุดโต่งไปสู่การปล่อยตัวปล่อยใจแบบสุดเหวี่ยงในทางตรงกันข้าม ผมถูกดึงดูดด้วยสิ่งต้องห้ามในชีวิตพระลามะทุกอย่าง ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยเห็นร่างผู้หญิงเปลือยเลยด้วยซ้ำ

แม่ของผมเกิดความคิดว่า น่าจะลองให้ผมไปเที่ยวชายหาดซึ่งมีแต่คนเปลือยร่างอาบแดด ผมไม่รู้เลยว่านั่นจะกลายเป็นประสบการณ์ที่ย่ำแย่จนฝังใจผมไปนานในภายหลัง

แม่ทิ้งผมไว้ที่ชายหาดนั้นครึ่งชั่วโมง ผมได้แต่ยืนอยู่ในสภาพช็อก รับไม่ได้ที่ตัวเองไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย เพราะผมมาจากวัฒนธรรมที่ไม่ได้เปิดใจกว้างต่อเรื่องนี้ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปมองที่ตรงไหนดี เลยได้แต่ก้มหน้ามองพื้นและรู้สึกอึดอัดอย่างมาก

คืนนั้นแม่ยังพาผมไปไนต์คลับบนเกาะอีบิซา แต่แม่ก็แค่จ่ายค่าเข้าแล้วทิ้งผมไว้ที่นั่น มันเสียงดังมากจนทำให้ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่อาจจะขยับตัวได้เพราะคนแน่นมาก ตอนนั้นเป็นปี 2003 จึงมีคนสูบบุหรี่ในสถานบันเทิงเต็มไปหมดจนผมหายใจไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจได้ในที่สุดว่า “เอาละใจเย็น ๆ ลองดื่มแอลกอฮอล์ดูสักหน่อย” ผมจิบแล้วรู้สึกเหมือนเกือบตายในทันที นี่มันนรกชัด ๆ

ในวันต่อมาผมบอกแม่ว่า “อย่าพาผมไปชายหาดที่มีแต่คนเปลือยหรือไนต์คลับอีกเลย”

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมยังคงตั้งใจจะฝึกฝนตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับสังคมของคนทั่วไปให้ได้ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลายาวนาน เพื่อลบล้างสิ่งที่ฝังหัวผมมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ตาม สิ่งเหล่านี้รวมถึงวิธีคิดที่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะต้องขัดเกลาให้มีความถ่อมตนมากขึ้น


โอเซลยังคงติดต่อกับชุมชนชาวพุทธอยู่

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผมก็เริ่มมีความเป็นขบถมากขึ้นทุกทีด้วย เพราะตระหนักได้ว่ามันดีต่อสุขภาพจิตของผมอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเริ่มไปปาร์ตี้บ่อยขึ้นทีละน้อย ทั้งยังคบหากับกลุ่มผู้จัดปาร์ตี้ที่เน้นดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ จนกลายมาเป็นคนจัดงานฉลองบนเกาะอีบิซาเสียเอง ผมเริ่มมีนิสัยแบบอันธพาลนิด ๆ หรือที่เรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มแบดบอยนั่นเอง

ผมยังคงติดต่อกับชุมชนชาวพุทธอยู่ แต่พยายามจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอีกเพราะต้องการแสวงหาหนทางของตนเอง ผมต้องค้นหาตัวตนและบุคลิกภาพที่แท้จริงของผม เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่มีมันอยู่เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง

ผมใช้เวลาราว 15 ปี ในการเดินทางและพบปะผู้คน จนมีโอกาสได้ออกผจญภัยอย่างสุดเหวี่ยงหลายครั้ง ผมเคยต้องเร่ร่อนจรจัดอยู่ข้างถนน และได้พบกับคนทุกประเภทจากทุกชนชั้นและวงสังคม

ในที่สุดผมได้เป็นพ่อคนตอนอายุ 32 ปี ผมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะมอบความสัมพันธ์ในแบบที่แตกต่างและดีกว่าให้กับลูกชายของผม รวมทั้งมอบประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผมไม่เคยมีในวัยเด็กให้กับเขา โชคดีที่ตอนนี้ลูกของผมเป็นเด็กที่มีความสุข และมีอารมณ์มั่นคงอย่างน่าทึ่งทีเดียว

https://bbc.in/3APRNJI