Gloria Gaynor - I Will Survive
.....
จังหวะจะเดิน
20 hours ago
·
หลายคนรู้จักและชื่นชอบเพลงนี้เพราะจังหวะสนุกสนาน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และสร้างความบันเทิง แต่แท้จริงแล้ว บทเพลงนี้มีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น
นี่คือเรื่องราวของ "I Will Survive" บทเพลงที่เริ่มต้นจากความสิ้นหวัง แต่กลับกลายเป็นเสียงแห่งพลังที่ก้องกังวานไปทั่วโลก เป็นแรงบันดาลใจให้คนลุกขึ้นมาต่อสู้และเอาชนะอุปสรรคในชีวิต
..
ย้อนกลับไปในปี 1978 Dino Fekaris นักแต่งเพลงหนุ่มที่เคยประสบความสำเร็จกับการแต่งเพลงให้ศิลปินดังอย่าง The Jackson 5 ถูกปลดออกจาก Motown Records หลังจากทำงานมาเกือบ 7 ปี
Fekaris เล่าว่า "ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย ผมกลายเป็นนักแต่งเพลงว่างงานที่กำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตัวเอง"
แต่แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องพักด้วยความสิ้นหวัง เขาได้ยินเพลงที่ตัวเองเคยแต่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง 'Generation' ดังขึ้นมาจากโทรทัศน์ นั่นเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
"I remember jumping up and down on the bed saying, ‘I’m going to make it. I’m going to be a songwriter. I will survive!’” (ผมจำได้แม่นว่าผมกระโดดอยู่บนเตียง ตะโกนว่า ผมจะต้องทำให้ได้ ผมจะเป็นนักแต่งเพลง ผมจะต้องอยู่รอด!)
..
Fekaris ร่วมมือกับ Freddie Perren เพื่อนนักแต่งเพลงและอดีตเพื่อนร่วมงานที่ Motown ในการสร้างสรรค์เพลงนี้ ทั้งคู่ตั้งใจว่าจะมอบเพลงนี้ให้กับนักร้องดีว่าคนต่อไปที่พวกเขาได้พบ และดีว่าคนนั้นก็คือ Gloria Gaynor
..
Gloria Gaynor เริ่มต้นเส้นทางสู่ความสำเร็จในวงการเพลงเมื่อปี 1974 ด้วยเวอร์ชันดิสโก้ของเพลง "Never Can Say Goodbye" ของ Jackson 5 เพลงนี้ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักร้องดิสโก้ที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น
แต่ชีวิตของเธอกลับพลิกผันอย่างคาดไม่ถึงในปี 1978
ปีนั้นเป็นปีแห่งความโศกเศร้าและความท้าทายสำหรับ Gaynor เธอต้องสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก ซึ่งทำให้เธอต้องใช้เวลานานในการทำใจยอมรับ แต่โชคร้ายไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว เธอยังพบว่าผู้จัดการคนเก่าของเธอได้ใช้เงินที่เธอหามาได้ทั้งหมดจนหมด และไม่เพียงเท่านั้น ยังก่อหนี้มหาศาลในนามของเธออีกด้วย
ท่ามกลางความยากลำบากทางการเงินและจิตใจ โชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีกครั้ง Gaynor ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงระหว่างการแสดง เธอตกจากเวทีและตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป การบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง และต้องสวมเครื่องพยุงหลังตั้งแต่สะโพกไปจนถึงใต้รักแร้เป็นเวลาสามเดือน
อาชีพการร้องเพลงของเธอต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว ทำให้ Polydor ค่ายเพลงของเธอ เริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเธอในวงการเพลง พวกเขาแจ้งกับ Gaynor ว่าอาจจะไม่ต่อสัญญาหากเธอไม่สามารถกลับมาทำงานได้เร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม Polydor ยังเห็นศักยภาพในตัว Gaynor และไม่อยากสูญเสียนักร้องที่มีพรสวรรค์ไป พวกเขาจึงตัดสินใจให้โอกาสเธออีกครั้ง โดยติดต่อ Freddie Perren เพื่อขอให้โปรดิวซ์ผลงานคัฟเวอร์เพลง "Substitute" ของวง Righteous Brothers เป็นการทดสอบว่า Gaynor จะสามารถกลับมาทำงานได้หรือไม่
Perren และทีมตกลงรับงานนี้ และพวกเขาเสนอให้ Gaynor บันทึกเสียงเพลง "I Will Survive" เป็นเพลงด้าน B ของซิงเกิล นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของ Gaynor ที่จะพิสูจน์ตัวเองกับ Polydor และรักษาสัญญาของเธอไว้
แม้จะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการผ่าตัด Gaynor ก็ตกลงที่จะร้องเพลงนี้ เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญทำให้เธอเข้าถึงความรู้สึกของเพลงได้อย่างลึกซึ้ง
"มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของฉัน" Gaynor เล่าด้วยน้ำตาคลอ "ฉันกลัวว่าจะไม่ได้ร้องเพลงอีก กลัวว่าอาชีพของฉันจะจบลง"
ด้วยความมุ่งมั่นและกำลังใจจากคนรอบข้าง Gaynor ค่อยๆ ฟื้นตัวและพร้อมที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง เมื่อเธอได้ยินเพลง "I Will Survive" เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกเหมือนเพลงนี้ถูกแต่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
"ตอนนั้นฉันเจ็บปวดมาก ทั้งร่างกายและจิตใจ" Gaynor เล่า "แต่พอได้ยินเนื้อเพลงนี้ ฉันรู้สึกเหมือนมันพูดแทนใจฉันทุกคำ มันให้พลังฉันที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง"
..
ในสตูดิโอ Gaynor ยืนร้องเพลงโดยมีแผ่นรองรับน้ำหนักใต้แขน เธอยังคงสวมเครื่องพยุงหลัง และต้องหยุดพักเป็นระยะ แต่ความเจ็บปวดไม่อาจหยุดยั้งพลังเสียงของเธอได้
Freddie Perren ผู้ร่วมแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์เล่าว่า "ผมไม่เคยเห็นใครร้องเพลงด้วยความรู้สึกขนาดนี้มาก่อน ทุกโน้ต ทุกคำร้อง มันออกมาจากหัวใจของเธอจริงๆ"
..
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทุกคนในทีมงานจะรู้ว่า "I Will Survive" เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยม แต่ทางค่ายเพลง Polydor ก็ยังยืนยันให้เพลงนี้เป็นเพลงด้าน B ของซิงเกิล "Substitute"
"มันน่าผิดหวังมาก" Gaynor เล่า "แต่ฉันเชื่อในพลังของเพลงนี้ ฉันรู้ว่าสักวันมันจะได้รับการยอมรับ"
และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ดีเจในไนต์คลับเริ่มเปิดด้าน B แทนด้าน A ผู้คนเริ่มขอให้สถานีวิทยุเปิดเพลงนี้ จนในที่สุดทางค่ายเพลงก็ต้องยอมปล่อยให้ "I Will Survive" เป็นซิงเกิลหลัก
เพลงพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนมีนาคม 1979 แซงหน้าเพลง "Do Ya Think I'm Sexy" ของ Rod Stewart และยังกันไม่ให้เพลง "YMCA" ของ Village People ขึ้นอันดับ 1 ทำให้เพลงนั้นต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นเพลงอันดับ 2 ตลอดกาล
..
ยิ่งไปกว่านั้น เพลงนี้ยังสามารถทำในสิ่งที่ไม่มีเพลงอื่นทำได้ คือการคว้ารางวัล Grammy สาขา Best Disco Recording ในปี 1980 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Grammy ยอมรับเพลงแดนซ์อย่างเป็นทางการ นี่หมายถึงการยอมรับวัฒนธรรมคลับและอิทธิพลของดีเจในการสร้างเทรนด์เพลงใหม่ๆ ด้วย
แต่หลังจากนั้น Grammy ก็ได้ยกเลิกสาขานี้ไปอย่างกะทันหัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกระแสต่อต้านดิสโก้อย่างรุนแรงที่เรียกว่า "Disco Sucks" ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งทำให้ดิสโก้กลายเป็นแนวเพลงที่ไม่ได้รับความนิยมในกระแสหลักอีกต่อไป
ความเกลียดชังนี้ไม่ได้เกิดจากแค่รสนิยมทางดนตรี แต่มีรากเหง้าลึกกว่านั้น เพราะดิสโก้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนผิวสี ฮิสแปนิก และชุมชน LGBTQ+ ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมของคนผิวขาวที่ชอบเพลงร็อค พวกเขามองว่าดิสโก้เป็นเพลงที่ไม่จริงใจและเป็นเพลงของผู้ชายที่ "อ่อนแอ"
จุดเดือดของความเกลียดชังเกิดขึ้นในคืน "Disco Demolition Night" ที่สนามเบสบอลในชิคาโก ดีเจวิทยุชื่อ Steve Dahl จัดกิจกรรมให้คนนับพันมาร่วมกันทำลายแผ่นเสียงดิสโก้ เหตุการณ์ลุกลามจนเกิดจลาจล นักวิจารณ์มองว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่เป็นการแสดงออกถึงการเหยียดเชื้อชาติและรสนิยมทางเพศ
ผลกระทบตามมารุนแรง สถานีวิทยุหยุดเปิดเพลงดิสโก้ ค่ายเพลงเลิกผลิต และไนต์คลับหลายแห่งปิดตัว ศิลปินดิสโก้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเอง แต่ Gloria Gaynor เลือกที่จะยืนหยัดกับรากเหง้าดิสโก้ของเธอ
แม้จะเจอความยากลำบาก แต่เธอยังคงร้องเพลงและทำเพลงในแนวที่เธอรักและเชื่อมั่น ซึ่งในที่สุดเพลง "I Will Survive" ก็เป็นเพลงที่มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูดนตรีดิสโก้ มันได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลงดิสโก้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ตัว Gloria Gaynor เองก็กลายเป็นไอคอนของยุคดิสโก้ที่ยังคงได้รับความนับถือจนถึงปัจจุบัน
..
จนเมื่อถึงปี 1998 Grammy จึงได้ตัดสินใจเปิดสาขา Best Dance Recording อีกครั้ง เป็นการยอมรับถึงความสำคัญของเพลงแดนซ์ที่กลับมาได้รับความนิยมและมีอิทธิพลอย่างมากในวงการเพลง สาขาใหม่นี้ครอบคลุมแนวเพลงแดนซ์ที่หลากหลายกว่าเดิม ไม่ได้จำกัดเฉพาะดิสโก้เหมือนในอดีต
การกลับมาของรางวัลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการยืนยันว่าเพลงแดนซ์ได้รับการยอมรับในฐานะศิลปะที่มีคุณค่า ไม่ใช่แค่เพลงเต้นรำไร้สาระอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ศิลปินแนวแดนซ์ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นการยอมรับถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมคลับและดีเจในการสร้างสรรค์เพลงอย่างเป็นทางการ
แม้จะผ่านไปถึง 20 ปี แต่การกลับมาของรางวัลนี้ก็ย้ำเตือนถึงความสำคัญของ "I Will Survive" ในฐานะเพลงที่เคยได้รับรางวัลนี้เป็นครั้งแรก
..
"I Will Survive" จึงไม่ใช่แค่เพลงเต้นรำสนุกๆ แต่มันกลายเป็นเพลงที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลา ก้าวข้ามอุปสรรคและการต่อต้าน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และการอยู่รอด
นอกจากเพลงนี้จะกลายเป็นเพลงประจำของชุมชน LGBTQ+ ที่ต้องต่อสู้เพื่อการยอมรับในสังคม เพลงนี้ก็ยังเป็นเพลงที่ให้กำลังใจผู้คนได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกราจากความสัมพันธ์ที่เลวร้าย การต่อสู้กับโรคร้าย หรือแม้แต่การฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต
"ฉันรักพลังที่เพลงนี้มอบให้ผู้คน" Gaynor กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันเป็นเนื้อเพลงที่ไร้กาลเวลาและตรงใจผู้คนเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่"
..
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี แต่ "I Will Survive" ก็ยังคงมีชีวิตชีวาเสมอ มีศิลปินมากมายนำไปร้องใหม่ ถูกใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เป็นเพลงยอดนิยมในคาราโอเกะ และถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 20 ภาษาทั่วโลก
ในปี 1998 ทีมฟุตบอลฝรั่งเศสใช้เพลงนี้เป็นเพลงประจำทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลก แสดงให้เห็นว่าพลังของเพลงนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้แม้แต่ในวงการกีฬา
Gaynor เองก็ใช้เพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจในการก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของเธอ รวมถึงการหย่าร้างในปี 2005 "ทุกครั้งที่ฉันเจอปัญหา ฉันก็นึกถึงเพลงนี้" เธอเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคง "มันเตือนฉันว่า ฉันเคยผ่านเรื่องยากๆ มาแล้ว และฉันจะผ่านมันไปได้อีก"
ในปี 2016 เพลง "I Will Survive" ของ Gloria Gaynor ได้รับเกียรติอย่างสูงโดยได้รับเลือกให้เข้าสู่ทะเบียนการบันทึกเสียงแห่งชาติของหอสมุดรัฐสภาสหรัฐฯ (The National Recording Registry of the Library of Congress) นี่เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเพลงนี้
แม้กระทั่งในปี 2020 เมื่อโลกเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 เพลงนี้ก็ถูกนำมาร้องอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจผู้คนทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าพลังของเพลงนี้ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย
..
ทุกครั้งที่เราได้ยินท่อนแรกของเพลง "At first I was afraid, I was petrified..." เราไม่ได้แค่ฟังเพลงเท่านั้น แต่เรากำลังร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางดนตรีและสังคมที่ยิ่งใหญ่
"I Will Survive" คือคำประกาศของทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร เราก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้
..
.
.
.
แหล่งข้อมูล
https://www.songfacts.com/facts/gloria-gaynor/i-will-survive
https://www.stevepafford.com/gloriagaynor/
https://en.wikipedia.org/wiki/I_Will_Survive
https://www.bbc.com/.../20240222-gloria-gaynors-i-will...
-----------------------------------
ทางเพจ “จัง-หวะ-จะ-เดิน” มีความที่ตั้งใจจะนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของบทเพลง ศิลปิน และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่สำคัญ จึงพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายแหล่ง แต่ด้วยความที่เรื่องราวต่างๆ ผ่านกาลเวลามายาวนาน และมีการพูดถึงต่อๆ กันไปอย่างหลากหลาย จึงไม่สามารถยืนยันความถูกต้องแน่นอนทั้งหมดได้ 100%
..
ทางเพจต้องขออภัยถ้าหากบางข้อมูลมีความผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนนะครับ
..
ขอบพระคุณทุกคนมากๆ ครับ
20 hours ago
·
หลายคนรู้จักและชื่นชอบเพลงนี้เพราะจังหวะสนุกสนาน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และสร้างความบันเทิง แต่แท้จริงแล้ว บทเพลงนี้มีเรื่องราวบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น
นี่คือเรื่องราวของ "I Will Survive" บทเพลงที่เริ่มต้นจากความสิ้นหวัง แต่กลับกลายเป็นเสียงแห่งพลังที่ก้องกังวานไปทั่วโลก เป็นแรงบันดาลใจให้คนลุกขึ้นมาต่อสู้และเอาชนะอุปสรรคในชีวิต
..
ย้อนกลับไปในปี 1978 Dino Fekaris นักแต่งเพลงหนุ่มที่เคยประสบความสำเร็จกับการแต่งเพลงให้ศิลปินดังอย่าง The Jackson 5 ถูกปลดออกจาก Motown Records หลังจากทำงานมาเกือบ 7 ปี
Fekaris เล่าว่า "ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย ผมกลายเป็นนักแต่งเพลงว่างงานที่กำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตัวเอง"
แต่แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ในห้องพักด้วยความสิ้นหวัง เขาได้ยินเพลงที่ตัวเองเคยแต่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง 'Generation' ดังขึ้นมาจากโทรทัศน์ นั่นเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
"I remember jumping up and down on the bed saying, ‘I’m going to make it. I’m going to be a songwriter. I will survive!’” (ผมจำได้แม่นว่าผมกระโดดอยู่บนเตียง ตะโกนว่า ผมจะต้องทำให้ได้ ผมจะเป็นนักแต่งเพลง ผมจะต้องอยู่รอด!)
..
Fekaris ร่วมมือกับ Freddie Perren เพื่อนนักแต่งเพลงและอดีตเพื่อนร่วมงานที่ Motown ในการสร้างสรรค์เพลงนี้ ทั้งคู่ตั้งใจว่าจะมอบเพลงนี้ให้กับนักร้องดีว่าคนต่อไปที่พวกเขาได้พบ และดีว่าคนนั้นก็คือ Gloria Gaynor
..
Gloria Gaynor เริ่มต้นเส้นทางสู่ความสำเร็จในวงการเพลงเมื่อปี 1974 ด้วยเวอร์ชันดิสโก้ของเพลง "Never Can Say Goodbye" ของ Jackson 5 เพลงนี้ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักร้องดิสโก้ที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้น
แต่ชีวิตของเธอกลับพลิกผันอย่างคาดไม่ถึงในปี 1978
ปีนั้นเป็นปีแห่งความโศกเศร้าและความท้าทายสำหรับ Gaynor เธอต้องสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก ซึ่งทำให้เธอต้องใช้เวลานานในการทำใจยอมรับ แต่โชคร้ายไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว เธอยังพบว่าผู้จัดการคนเก่าของเธอได้ใช้เงินที่เธอหามาได้ทั้งหมดจนหมด และไม่เพียงเท่านั้น ยังก่อหนี้มหาศาลในนามของเธออีกด้วย
ท่ามกลางความยากลำบากทางการเงินและจิตใจ โชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีกครั้ง Gaynor ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงระหว่างการแสดง เธอตกจากเวทีและตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับพบว่าตัวเองเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป การบาดเจ็บครั้งนี้ทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง และต้องสวมเครื่องพยุงหลังตั้งแต่สะโพกไปจนถึงใต้รักแร้เป็นเวลาสามเดือน
อาชีพการร้องเพลงของเธอต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว ทำให้ Polydor ค่ายเพลงของเธอ เริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเธอในวงการเพลง พวกเขาแจ้งกับ Gaynor ว่าอาจจะไม่ต่อสัญญาหากเธอไม่สามารถกลับมาทำงานได้เร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม Polydor ยังเห็นศักยภาพในตัว Gaynor และไม่อยากสูญเสียนักร้องที่มีพรสวรรค์ไป พวกเขาจึงตัดสินใจให้โอกาสเธออีกครั้ง โดยติดต่อ Freddie Perren เพื่อขอให้โปรดิวซ์ผลงานคัฟเวอร์เพลง "Substitute" ของวง Righteous Brothers เป็นการทดสอบว่า Gaynor จะสามารถกลับมาทำงานได้หรือไม่
Perren และทีมตกลงรับงานนี้ และพวกเขาเสนอให้ Gaynor บันทึกเสียงเพลง "I Will Survive" เป็นเพลงด้าน B ของซิงเกิล นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของ Gaynor ที่จะพิสูจน์ตัวเองกับ Polydor และรักษาสัญญาของเธอไว้
แม้จะยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการผ่าตัด Gaynor ก็ตกลงที่จะร้องเพลงนี้ เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญทำให้เธอเข้าถึงความรู้สึกของเพลงได้อย่างลึกซึ้ง
"มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิตของฉัน" Gaynor เล่าด้วยน้ำตาคลอ "ฉันกลัวว่าจะไม่ได้ร้องเพลงอีก กลัวว่าอาชีพของฉันจะจบลง"
ด้วยความมุ่งมั่นและกำลังใจจากคนรอบข้าง Gaynor ค่อยๆ ฟื้นตัวและพร้อมที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง เมื่อเธอได้ยินเพลง "I Will Survive" เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกเหมือนเพลงนี้ถูกแต่งมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
"ตอนนั้นฉันเจ็บปวดมาก ทั้งร่างกายและจิตใจ" Gaynor เล่า "แต่พอได้ยินเนื้อเพลงนี้ ฉันรู้สึกเหมือนมันพูดแทนใจฉันทุกคำ มันให้พลังฉันที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้ง"
..
ในสตูดิโอ Gaynor ยืนร้องเพลงโดยมีแผ่นรองรับน้ำหนักใต้แขน เธอยังคงสวมเครื่องพยุงหลัง และต้องหยุดพักเป็นระยะ แต่ความเจ็บปวดไม่อาจหยุดยั้งพลังเสียงของเธอได้
Freddie Perren ผู้ร่วมแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์เล่าว่า "ผมไม่เคยเห็นใครร้องเพลงด้วยความรู้สึกขนาดนี้มาก่อน ทุกโน้ต ทุกคำร้อง มันออกมาจากหัวใจของเธอจริงๆ"
..
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทุกคนในทีมงานจะรู้ว่า "I Will Survive" เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยม แต่ทางค่ายเพลง Polydor ก็ยังยืนยันให้เพลงนี้เป็นเพลงด้าน B ของซิงเกิล "Substitute"
"มันน่าผิดหวังมาก" Gaynor เล่า "แต่ฉันเชื่อในพลังของเพลงนี้ ฉันรู้ว่าสักวันมันจะได้รับการยอมรับ"
และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ดีเจในไนต์คลับเริ่มเปิดด้าน B แทนด้าน A ผู้คนเริ่มขอให้สถานีวิทยุเปิดเพลงนี้ จนในที่สุดทางค่ายเพลงก็ต้องยอมปล่อยให้ "I Will Survive" เป็นซิงเกิลหลัก
เพลงพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนมีนาคม 1979 แซงหน้าเพลง "Do Ya Think I'm Sexy" ของ Rod Stewart และยังกันไม่ให้เพลง "YMCA" ของ Village People ขึ้นอันดับ 1 ทำให้เพลงนั้นต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นเพลงอันดับ 2 ตลอดกาล
..
ยิ่งไปกว่านั้น เพลงนี้ยังสามารถทำในสิ่งที่ไม่มีเพลงอื่นทำได้ คือการคว้ารางวัล Grammy สาขา Best Disco Recording ในปี 1980 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Grammy ยอมรับเพลงแดนซ์อย่างเป็นทางการ นี่หมายถึงการยอมรับวัฒนธรรมคลับและอิทธิพลของดีเจในการสร้างเทรนด์เพลงใหม่ๆ ด้วย
แต่หลังจากนั้น Grammy ก็ได้ยกเลิกสาขานี้ไปอย่างกะทันหัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกระแสต่อต้านดิสโก้อย่างรุนแรงที่เรียกว่า "Disco Sucks" ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งทำให้ดิสโก้กลายเป็นแนวเพลงที่ไม่ได้รับความนิยมในกระแสหลักอีกต่อไป
ความเกลียดชังนี้ไม่ได้เกิดจากแค่รสนิยมทางดนตรี แต่มีรากเหง้าลึกกว่านั้น เพราะดิสโก้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนผิวสี ฮิสแปนิก และชุมชน LGBTQ+ ซึ่งขัดกับวัฒนธรรมของคนผิวขาวที่ชอบเพลงร็อค พวกเขามองว่าดิสโก้เป็นเพลงที่ไม่จริงใจและเป็นเพลงของผู้ชายที่ "อ่อนแอ"
จุดเดือดของความเกลียดชังเกิดขึ้นในคืน "Disco Demolition Night" ที่สนามเบสบอลในชิคาโก ดีเจวิทยุชื่อ Steve Dahl จัดกิจกรรมให้คนนับพันมาร่วมกันทำลายแผ่นเสียงดิสโก้ เหตุการณ์ลุกลามจนเกิดจลาจล นักวิจารณ์มองว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่เป็นการแสดงออกถึงการเหยียดเชื้อชาติและรสนิยมทางเพศ
ผลกระทบตามมารุนแรง สถานีวิทยุหยุดเปิดเพลงดิสโก้ ค่ายเพลงเลิกผลิต และไนต์คลับหลายแห่งปิดตัว ศิลปินดิสโก้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนแนวเพลงของตัวเอง แต่ Gloria Gaynor เลือกที่จะยืนหยัดกับรากเหง้าดิสโก้ของเธอ
แม้จะเจอความยากลำบาก แต่เธอยังคงร้องเพลงและทำเพลงในแนวที่เธอรักและเชื่อมั่น ซึ่งในที่สุดเพลง "I Will Survive" ก็เป็นเพลงที่มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูดนตรีดิสโก้ มันได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลงดิสโก้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ตัว Gloria Gaynor เองก็กลายเป็นไอคอนของยุคดิสโก้ที่ยังคงได้รับความนับถือจนถึงปัจจุบัน
..
จนเมื่อถึงปี 1998 Grammy จึงได้ตัดสินใจเปิดสาขา Best Dance Recording อีกครั้ง เป็นการยอมรับถึงความสำคัญของเพลงแดนซ์ที่กลับมาได้รับความนิยมและมีอิทธิพลอย่างมากในวงการเพลง สาขาใหม่นี้ครอบคลุมแนวเพลงแดนซ์ที่หลากหลายกว่าเดิม ไม่ได้จำกัดเฉพาะดิสโก้เหมือนในอดีต
การกลับมาของรางวัลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการยืนยันว่าเพลงแดนซ์ได้รับการยอมรับในฐานะศิลปะที่มีคุณค่า ไม่ใช่แค่เพลงเต้นรำไร้สาระอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ศิลปินแนวแดนซ์ได้รับการยอมรับในระดับสากล และเป็นการยอมรับถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมคลับและดีเจในการสร้างสรรค์เพลงอย่างเป็นทางการ
แม้จะผ่านไปถึง 20 ปี แต่การกลับมาของรางวัลนี้ก็ย้ำเตือนถึงความสำคัญของ "I Will Survive" ในฐานะเพลงที่เคยได้รับรางวัลนี้เป็นครั้งแรก
..
"I Will Survive" จึงไม่ใช่แค่เพลงเต้นรำสนุกๆ แต่มันกลายเป็นเพลงที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลา ก้าวข้ามอุปสรรคและการต่อต้าน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และการอยู่รอด
นอกจากเพลงนี้จะกลายเป็นเพลงประจำของชุมชน LGBTQ+ ที่ต้องต่อสู้เพื่อการยอมรับในสังคม เพลงนี้ก็ยังเป็นเพลงที่ให้กำลังใจผู้คนได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกราจากความสัมพันธ์ที่เลวร้าย การต่อสู้กับโรคร้าย หรือแม้แต่การฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิต
"ฉันรักพลังที่เพลงนี้มอบให้ผู้คน" Gaynor กล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันเป็นเนื้อเพลงที่ไร้กาลเวลาและตรงใจผู้คนเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังเผชิญกับอะไรอยู่"
..
แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 40 ปี แต่ "I Will Survive" ก็ยังคงมีชีวิตชีวาเสมอ มีศิลปินมากมายนำไปร้องใหม่ ถูกใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เป็นเพลงยอดนิยมในคาราโอเกะ และถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 20 ภาษาทั่วโลก
ในปี 1998 ทีมฟุตบอลฝรั่งเศสใช้เพลงนี้เป็นเพลงประจำทีมในการแข่งขันฟุตบอลโลก แสดงให้เห็นว่าพลังของเพลงนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้แม้แต่ในวงการกีฬา
Gaynor เองก็ใช้เพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจในการก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของเธอ รวมถึงการหย่าร้างในปี 2005 "ทุกครั้งที่ฉันเจอปัญหา ฉันก็นึกถึงเพลงนี้" เธอเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคง "มันเตือนฉันว่า ฉันเคยผ่านเรื่องยากๆ มาแล้ว และฉันจะผ่านมันไปได้อีก"
ในปี 2016 เพลง "I Will Survive" ของ Gloria Gaynor ได้รับเกียรติอย่างสูงโดยได้รับเลือกให้เข้าสู่ทะเบียนการบันทึกเสียงแห่งชาติของหอสมุดรัฐสภาสหรัฐฯ (The National Recording Registry of the Library of Congress) นี่เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเพลงนี้
แม้กระทั่งในปี 2020 เมื่อโลกเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 เพลงนี้ก็ถูกนำมาร้องอีกครั้งเพื่อให้กำลังใจผู้คนทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าพลังของเพลงนี้ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย
..
ทุกครั้งที่เราได้ยินท่อนแรกของเพลง "At first I was afraid, I was petrified..." เราไม่ได้แค่ฟังเพลงเท่านั้น แต่เรากำลังร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทางดนตรีและสังคมที่ยิ่งใหญ่
"I Will Survive" คือคำประกาศของทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่ว่าเราจะเจอกับอะไร เราก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้
..
.
.
.
แหล่งข้อมูล
https://www.songfacts.com/facts/gloria-gaynor/i-will-survive
https://www.stevepafford.com/gloriagaynor/
https://en.wikipedia.org/wiki/I_Will_Survive
https://www.bbc.com/.../20240222-gloria-gaynors-i-will...
-----------------------------------
ทางเพจ “จัง-หวะ-จะ-เดิน” มีความที่ตั้งใจจะนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของบทเพลง ศิลปิน และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ทางดนตรีที่สำคัญ จึงพยายามค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายแหล่ง แต่ด้วยความที่เรื่องราวต่างๆ ผ่านกาลเวลามายาวนาน และมีการพูดถึงต่อๆ กันไปอย่างหลากหลาย จึงไม่สามารถยืนยันความถูกต้องแน่นอนทั้งหมดได้ 100%
..
ทางเพจต้องขออภัยถ้าหากบางข้อมูลมีความผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนนะครับ
..
ขอบพระคุณทุกคนมากๆ ครับ