วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 05, 2563

อันไหน ‘ปาหี่’ กว่ากัน เรื่องบ้านหลวงกับ 'อุ๊' คลั่ง


ไม่รู้นะ อันไหน ปาหี่ กว่ากัน เรื่องบ้านหลวงที่ ประยุทธ์ใช้ มีเรื่องร้องเรียนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรับฟ้องแล้วกำหนดวันแถลงผลพิจารณา ๒ ธันวา ที่มีคนบอกว่า “มิตรสหายหลายคน ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าเป็นปาหี่ ซื้อเวลาลดแรงกดดันการชุมนุม”

กับรายการโต้วาทีของ จอมขวัญ กำลังฮิตใหญ่ เพราะเอาพวกคลั่งเจ้าและสาวกเผด็จการทหารมาดีเบตกับแกนนำเยาวชนประชาธิปไตยปลดแอก ผ่านมาหลายคน เอ๋-มายด์ ไพบูลย์-นันทพงศ์ สิระ-ฟอร์ด จนมาถึงนี่ อุ๊ หฤทัย-ไผ่ ดาวดิน

ที่หลายคนบ่นว่า “เราได้อะไร” เพราะเห็นหฤทัย ม่วงบุญศรี เอาแต่โหวกเหวกโวยวาย ให้ข้อมูลผิดๆ ตามมิจฉาทิฏฐิที่ฝังหัวตัวเอง ขณะที่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา พยายามอธิบายข้อเท็จจริงและหลักวิชาการ ขณะอุ๊ตะโกนสอดแทรกไม่ยอมฟัง

หวนไปเรื่องศาลรัฐธรรมนูญก่อน มีแถลงออกมาเมื่อวาน (๔ พิจิก) ว่าที่ประธานสภาฯ ส่งเรื่องร้องเรียนของ ๕๖ ส.ส.ฝ่ายค้านว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นทั้งนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังอาสัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการทหารหลังเกษียณ

แบบนี้มันน่าจะทำให้ต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๕) และมาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๕) และประกอบมาตรา ๑๘๔ กับ ๑๘๖ อีกด้วย ซึ่งบางคนบอกว่า


ใช่ครับ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ศาลรัฐธรรมนูญจะฟันประยุทธแค่ขอหาอยู่บ้านหลวง หนักกว่านี้ศาลยังเคยตีลังกาวินิจฉัยมาแล้ว อย่างประเด็นถวายสัตย์” (โพสต์ของ วีระชาติ อนันตชัย) แต่กระนั้นเขาก็ยังว่า “ถ้านิยายเกิดมีท่าว่าจะจริงขึ้นมา เชื่อว่าคงไม่ต้องถึงศาล”

คือ “คนรอบตัวของปะยุดคงนัดกันบีบปะยุดให้ต้องตัดสินใจลาออก” อ้างว่าถ้าเฮียตู่โดนคดี มันจะเป็นไวรัสติดต่อไปถึงพี่ๆ น้องๆ ตะหานที่ยังอยู่อาศัยกันในบ้านหลวง เข้าซังเตไปด้วย แต่เราว่าไม่อย่างนั้นนะ ถ้าเกิดศาลจะแยกตัวเป็นอิสระ ตู่ต้องชวนพี่ๆ น้องๆ ชิงยึดอำนาจตัวเองมากกว่า

ตัดฉากกลับมาอีกทีเรื่อง อุ๊แหกกะเฌอใส่ไผ่ มีคน ‘fact checked’ กันหลายเรื่อง ข้อแรกจะเล่า “บ้าและมั่ว คุณอุ๊บอกว่าเหตุการณ์​สังหารหมู่​ ๖​ ตุลา​ ๑๙​ เป็น​การกระทํา​ของอเมริกา” ไทกร พลสุวรรณ@Thaikorn1 เอามาสอน

เขาว่าอเมริกันถอนทหารออกจากอินโดจีน (รวมทั้งไทยด้วย) ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ โน่นแล้ว และใช่เลยเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ “คืออาการกลัวคอมมิวนิสต์​ของผู้ปกครอง​ไทย​ จึงสร้างเรื่องใส่ร้ายนักศึกษา​แล้วฆ่าทิ้ง” แล้วอีกกรณี ที่เธอว์กล่าวหา

ดัง การดี ศรีสุเมธ เอามาชี้ต่อยอด “ที่อุ๊ไปด่าคนดำในสหรัฐ​ว่าไม่มีค่าความเป็นคน จะกลายเป็นประเด็นร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง​ และจะเป็นประเด็นใหญ่มากกว่าความบ้าบอที่มันแสดงออกมา” แล้วยังฟาดหางสะเปะสะปะ

“ทำไม ไอลอว์ ถึงรับเงินจากอเมริกัน-ยิว นี่คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า คุณให้เขามาแก้ปัญหาในไทยได้ยังไง” เป็นการกล่าวหาเลื่อนลอยเสียจนไผ่รำพึง “ผมไม่รู้จะพูดยังไงแล้วพี่ เฮือกก” การนี้ ไอลอว์ต้องออกมาชี้แจง

ประมาณว่า ทำไมอุ๊ถึงได้มั่วซั่วมากขนาดนี้ จะมาดีเบตออกทีวีไม่ได้ศึกษาข้อมูลความจริงให้ถ่องแท้ พูดเอาแต่ความเชื่ออย่างหลงใหลของตัว ไอลอว์บอกว่าขั้อมูลที่อุ๊ไม่รู้นั้นมีอยู่บนเว็บไซ้ท์ขององค์กรตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี ๒๕๕๒ แล้ว

ว่าเป็น “องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งทำงานกับภาคประชาสังคมและคนทั่วไปในสังคม มีเป้าหมายเพื่อไปให้ถึง หลักการประชาธิปไตย, เสรีภาพในการแสดงออก สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง”

และข้อสำคัญ เพื่อให้เกิด “ระบบยุติธรรมไทยที่เป็นธรรมและตรวจสอบได้ กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน” พร้อมทั้งแจงแหล่งที่มาของผู้สนับสนุน ว่านี่เป็นเอ็นจีโอ ซึ่งทั่วโลกองค์กรแบบนี้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาที่เห็นตรงกันทั้งนั้น

“ไม่ได้จำกัดว่าต้องมาจากประเทศใด ถ้ามีแหล่งทุนในประเทศที่วัตถุประสงค์ตรงกันก็จะทำงานด้วยเช่นกัน โดยเราเป็นผู้ร่างโครงการที่ต้องการทำงานในแต่ละปี กิจกรรมทั้งหมดเราเป็นผู้ริเริ่มเสนอ และเป็นผู้ออกแบบ”

อีกทั้ง “กิจกรรมที่ทำไม่มีผลต่อปริมาณเงินที่ได้รับ และแหล่งทุนไม่มีส่วนในการกำหนดรูปแบบและวัตถุประสงค์ของกิจกรรม” แต่ถ้าได้รับบริจาคจากรัฐบาลไทย ก็จะต้องกลายเป็นลิ่วล้อพวกสืบทอดอำนาจเผด็จการกลายๆ แบบ กสม.

สำหรับอาการของอุ๊นั้น สลักธรรม โตจิราการ เขียนว่า “มองเห็นบางอย่างของทางฝ่ายโน้นที่น่าขบคิดคือเรื่องความรู้สึกกลัว ที่แอบซ่อนในใจ” ต่อมารยาทที่อุ๊ออกอาการนั่น เอาหลักวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์เลยหละ

“ในธรรมชาติ พฤติกรรมสัตว์จะขู่คำรามและทำร้ายเมื่อตนเองกลัว และรู้สึกว่าถูกคุกคามต่อกายภาพหรือพื้นที่ของตน...อุ๊คงกลัวว่าถ้าอีกฝั่งขึ้นมา ทั้งอุ๊และสิ่งที่อุ๊รัก จะถูกลดทอนพื้นที่จนไม่เหลือที่ยืน” และที่สลักธรรมแจงต่ออย่างหมอ

“เราคงต้องอธิบายให้พวกเขาฟังเรื่อยๆ ว่าสังคมที่เราจะสร้างขึ้นมานั้น มีพื้นที่ทางสังคมกว้างใหญ่กว่าเดิมมาก” พอให้อุ๊และเทือกเถาเดียวกันอยู่ได้ ตราบเท่าที่ “ไม่ไปละเมิดสวัสดิภาพของผู้อื่นเช่นส่งคนไปทำร้าย จับกุมคุมขัง หรือสังหาร”

เมื่อเข้าใจตรงกัน ก็จะ ‘enjoy life’ ไม่ต้อง หลบ ไปอยู่ต่างประเทศ นานๆ กลับมาที ให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ ข้อสำคัญควักจากกระเป๋าคนอื่นๆ หลายสิบล้าน

(https://prachatai.com/journal/2020/11/90290, https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10164603251655551 และhttps://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5257473)