ตกลงใคร (วะ) ในกลาโหมที่โกหก ระหว่างโฆษก
กับ ผอ.สำนักนโยบายฯ กรณีเอกสารหลุด “เรียกดูตำแหน่งมือถือประชาชน” รายแรกบอกแค่ “แจ้งให้ทราบ...ผลการประชุม”
รายหลังรับ “จริง แต่เพื่อเป็นประโยชน์ในการสอบสวนโรค”
จะไม่ให้รับได้ไง ลายเซ็น พล.อ.รักศักดิ์
โรจน์พิมพ์พันธุ์ ผอ.สนผ. กลาโหม โทนโท่อย่างนั้น แน่นอนละข้ออ้าง “ใช้ข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ในการสนับสนุน
การควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส...การพิสูจน์อัตลักษณ์ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์”
แต่ก็ อย่างที่ สฤณี อาชวานันทกุล ตั้งข้อสงสัยไว้ “ในเมื่อข้อมูลเบอร์และสัญญาณมือถือที่ขอตามหนังสือนี้ก็มากเกินพอแล้วต่อการสอบสวนโรค”
ในทางลับแล้ว ทำไมอีกเดือนต่อมามีโครงการ ‘ไทยชนะ’ ออกมาขอเก็บข้อมูลจากประชาชนอีก
ข้อสำคัญสิ่งที่ ‘กลาโหม’ อ้างว่าเพียงเป็นตัวประสานให้กรมควบคุมโรค
กสทช. และกระทรวงดิจิทัล เรียกบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือไปร่วมประชุมและ ‘ยินดี’ ร่วมมือ “ละเอียดและครอบคลุมกว่าข้อมูล QR
code ที่ได้จากไทยชนะหลายเท่า”
โดยที่ “คนไทยทั้งประเทศไม่รู้เลยว่ามีกระบวนการนี้อยู่”
อีกทั้ง “บริษัทมือถือทั้งสามเจ้ามีการส่งข้อมูลให้กรมควบคุมโรคทุกวัน” นั้น “เป็นไปตามระบบและนโยบายการคุ้มครองข้อมูล
(data governance)” และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”
หรือไม่
(https://www.facebook.com/SarineeA/posts/3752880608072081
และ https://www.posttoday.com/social/general/625527)
ด้านพลโท คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกลาโหมออกมา
‘ยัน’ (ตามที่ Wassana Nanuam แจ้ง) “กห. ไม่เคยร้องขอ และได้รับข้อมูลจาก
กสทช....หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือแจ้งผลการประชุม
เพื่อร่วมกันศึกษาแนวทางการควบคุมโรค”
ทั่นโฆษกฯ ยัง ‘ชี้แจง’ อีกด้วยว่า “เรื่องดังกล่าวภาคเอกชนที่เป็นบริษัทค่ายมือถือนั้น
เสนอว่าเห็นควรให้นำการติดตามโทรศัพท์มาใช้ในการสอบสวนโรค” เพียงแต่พอดี “มติในที่ประชุมก็เห็นด้วย”
อันนี้รวมถึงศูนย์บันเทาสาธารณภัยกลาโหม กสทช. กระทรวงดีอี เป็นสำคัญ
อ้อ แล้วข้อแก้ตัวจากพลเอก
ผอ.สำนักวางแผนกลาโหมว่า “ที่สำคัญโปรแกรมนี้ยังไม่ได้บังคับใช้ เพิ่งทำเสร็จเมื่อ
๑๕ วันที่ผ่านมา” นี้เอง “ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบของรายแรกอยู่
เพื่อเตรียมความพร้อมหากมีการระบาดของโรคในรอบสอง”
อ้อออออ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่า ‘วิษณุ’ ถึง “ระบุมีความเป็นไปได้ที่จะต่ออายุ
พรก.ฉุกเฉิน” ออกไปอีกตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม อ้างเช่นกัน “เปิดภาคเรียน เปิดสนามบิน
ซึ่งจะมีการเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น และจะต่อด้วยวันหยุดยาว”
ทั่นรองนายกฯ เจ้าของฉายาเทพเจ้าแห่งข้อยกเว้นสำหรับพวกกรูบอกว่าแค่
พรบ.โรคติดต่อไม่พอใช้ “มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้เช่นปัจจุบัน” นายวิษณุ
เครืองามอธิบายยาวมาก แค่หมายความว่า พรบ.ทำได้แต่ขอร้อง
ส่วน พรก.ใช้ประกาศสั่งเอาเลย “หากใครไม่ทำตาม
มีความผิดทางอาญา...พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดได้หมด ปิดชายหาด ปิดโรงเรียน ร้านค้าได้”
ทั่นรองฯ พูดถึงเรื่องการแพร่ระบาดเท่านั้นนะ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้ามีเรื่องอื่นต้องใช้ จะไม่ทำ
แบบว่าเวลานี้กระแส #saveวันเฉลิม แรงเหลือเกิน แรงแซงหน้ากระแส #ผิวแขก matters ยิ่งกว่าผิวจีน อะ
ขนาดนัดกันไปยื่นหนังสือที่หน้าสถานทูตเขมร และมีป้ายประกอบรูปหน้าตาเกลื่อนกำแพง ถามหาบรรดาบุคคลลี้ภัยที่ถูกอุ้มหายจากประเทศเพื่อนบ้าน
ถึงแม้การยื่นหนังสือจะไม่มีใครในสถานทูตยอมออกมารับ
มีแต่กระทาชาย ‘หัวเกรียน’ เดินถ่ายภาพใบหน้าผู้ไปร่วมประท้วงหน้าสถานทูต ชนิดเรียงตัวเลยเชียว
สร้างความหวาดกลัวแก่ประชากรออนไลน์ที่ได้ชมภาพ
ลือกันขรมว่าสำนักพระราชวังการ์มิสช์ส่งไป
แล้วยังปรากฏด้วยว่าประดาป้ายเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ผู้ลี้ภัย
บ้างถาม #อุ้มเขาทำไม บ้างทวงหาพวกเขา
#หายไปไหน ถูกใครก็ไม่รู้ออกกวาดเก็บเรียบทั้งใน กทม.
ขอนแก่น และในบางท้องที่อีสานสถานการณ์อย่างนี้หรือเปล่าที่จะร้ายกว่าโควิด
ขณะที่ ‘ทางการ’ ทุกหน่วยตั้งแต่ระดับความมั่นคงลงไปถึงพวกลิ่วล้อตามองค์กรอิสระ
เงียบกันหมดอย่างชนิดชวนให้วังเวง แต่ส่วนเอกชนกระหึ่ม โดยเฉพาะเหล่านักแสดงและนางงาม
กำลังจะกลายเป็นว่าใครไม่อินกับ #saveวันเฉลิม โคตรเชย