“เฮ้อ” ต้องใช้คำนี้ (ของ ภัควดี วีระภาสพงษ์)
เมื่อไปตามอ่านวิวาทะเรื่อง “เจอหำแล้วหาย” ที่ อธึกกิต แสวงสุข โดนทัวร์ลงขบวนใหญ่
เพราะไปแก้ต่างให้กับการเม้นต์ในนาม “ซ้ายตีกะหรี่” ของ สนานจิตต์ บางสพาน
บ่องตง ไม่รู้จักใครสักคนในนั้น หลายชื่อคุ้นตามากๆ
จากการที่เป็นติ่งตามดูความคิดความเห็นของ Atukkit
Sawangsuk อยู่ไม่ขาด ทั้ง Pimsiri Mook Petchnamrob Pinkaew Laungaramsri Nithinand Yorsaengrat และใครต่อใครให้ความเห็นไว้ จนต้องสัมผัส
อันเนื่องมาแต่สังคมโลกปัจจุบันยอมรับความหลากหลายแห่งเพศวิถี
(หรือเพศสภาพ) แม้ในทางสรีระจะยังมีอยู่เพียงสองแบบ หากแต่ทางเพศสัมพันธ์มีการพลิกแพลงและสลับกลับเปลี่ยนมากมาย
จะเป็นแบบเลสเบี้ยน เกย์ ไบ ทรานส์ หรือเควียร์ ได้ทั้งนั้น
ดังที่ Pinkaew Laungaramsri
เล่าเมื่อครั้งไปทำปริญญาเอกอยู่อเมริกา เพื่อร่วมชั้นชายชาวนาวาโฮ “เล่าว่าในเผ่าของเขาเชื่อกันว่า
ในคนๆ หนึ่งมีจิตวิญญาณ (spirits) ของชายและหญิงอยู่ร่วมกัน...สามารถที่จะแสดงออกทางเพศได้สี่ลักษณะ”
สุดแต่ลักษณะไหนครอบงำ
ครั้นเมื่อมีการกระทบกระทั่งขนาด เกษมศักดิ์ วงศ์รัฐปัญญา
บอกว่า “ทอมกับดี้น่ะ ตราบใดที่มีมดลูก ธรรมชาติเขาจัดสรรมาแล้ว เจอหำที่ใช่ นี่หายทุ้กคน
ห้า ห้า ห้า” ชุมชน LBGTQ ย่อมไม่ยอมนิ่ง เว็บเพจ http://www.feminista.in.th/
เก็บไปแยกสลาย ‘dissected’ เสียหนำ
โดยเฉพาะเจาะจงว่าคอมเม้นต์แบบนั้น เป็นการคุกคามต่อสวัสดิภาพของผู้ที่ประกาศความหลากหลาย
ตั้งแต่ ‘hate crime’ ไปสู่ ‘แก้ทอมซ่อมดี้’ หรือ “อึ้ง! พ่อข่มขืนลูกสาววัย ๑๔ อ้างดัดสันดานคบหากับพวกทอม”
กระทั่งกรณี ‘อุ้มฆ่าทอม’ (https://ilaw.or.th/node/4398) หรือคดีพิลึกกึกกือแบบที่ ‘เสี่ยแป้งมัน’ เคยพัวพัน
แม้จะหลุดแล้วก็ยังเป็นสนิมในใจทางสังคมอยู่ไม่วาย
ซึ่งต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรื่องอย่างนี้ในสังคมที่ยังมีความเป็น
‘ไทยๆ’ อยู่เยอะ “ประเด็นทางเพศนี่มันยากกว่าประเด็นชนชั้นหรือการเมืองมาก
ประชาธิปไตยอาจสู้กันหลักร้อยปี ประเด็นเพศนี่สู้กันหลักพันปี”
Cholnapa Anukul ชี้ไว้ใช่เลย
Cholnapa Anukul ชี้ไว้ใช่เลย
อธึกกิตบอกว่า โห มันไม่ถึงขนาดนั้น
ยอมรับว่า “มันแย่มาก ‘คำ ผกา’ ใช้คำว่าเหี้ย ดูถูกทางเพศ แต่มันก็ยังไม่ได้หมายความถึงการข่มขืน” เขาเปรียบ
“ก็เหมือนตำรวจเอาหนังสือโป๊ไปเป็นหลักฐานในคดีข่มขืน ผู้ชายดูหนังสือโป๊ดูหนัง AV
มีเป็นล้านๆ ข่มขืนผู้หญิงทุกคนหรือเปล่า”
ยกตัวอย่างถ้าลูกตัวเองเกิดเป็นเกย์หรือ ลสบ.
“ผมก็คงเสียใจ แต่ผมก็ต้องพยายามทำใจ แล้วก็เคารพสิทธิเสรีภาพของเขา...แต่ลึกๆ
แล้วผมก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี” ถึงอย่างนั้น มุก พิมศิริ แย้งว่า “มันพูดในที่สาธารณะไม่ได้แล้วค่ะ”
ย้อนให้อีก “เราจะอธิบายปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงแต่งงานมีลูกมีสามีแล้วเลิกมาคบผู้หญิงด้วยกันยังไงดีคะ
เจอฮีแล้วหายหรืออย่างไร” เลยเถิดไปถึง “เรื่องของ generation gap คนยุคนี้ไม่ได้เติบโตมากับแนวคิดแบบนั้นแล้วค่ะ”
มันเป็นความห่าง ต่างวัยชนิด “ไอ้แก่ที่น่าจะเซ็กซ์ห่วย
ขนาดที่รอชาติหน้าก็ไม่มีวันรู้จักว่า ‘ฟีเมลออแกสซึ่ม’ เป็นยังไง” กระนั้นเชียวหรือ
โชคดีเพื่อนพ้องรุ่นพี่ของน้าถึกช่วยเติมความกระจ่าง “ความสุขทางเพศของหญิงไม่ได้ขึ้นกับ
‘หำ’ อันเดียว”
Nithinand Yorsaengrat
ชี้ “หำก็คือหำ เหมือนมือก็คือมือ เท้าก็คือเท้า
จมูกก็คือจมูก ล้วนเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่มีหน้าที่ของมัน ในแง่ของเซ็กส์
ผู้หญิงเพียง ๑ ใน ๓ เท่านั้นที่ถึงจุดสุดยอดทางเพศจากหำ และไม่ใช่เพราะความเก่งของผู้ชาย”
พี่ป้อมสอนน้องต่อ “น้า ๆ ลุง ๆ
ที่โตมาจากยุคสังคมชายเป็นใหญ่ระดับเข้มข้นเมื่อหกถึงเจ็ดทศวรรษที่ผ่านมา
จึงพึงระมัดระวังก่อนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางเพศในที่สาธารณะ”
หลังจากเกริ่นถึงคำ ‘ซ้ายตีกะหรี่’ ว่า ‘ไม่ซ้าย’
จะมีใครบ้างไหมมองว่า ตีกะหรี่ สมัยนั้นช่วยลดปัญหาท้องไม่มีพ่อและอะบอร์ชั่นได้เยอะ
ในยุคที่ มีชัย วีระไวทยะ นักจัดรายการ ‘Interlude’ พูดฝรั่งเพลงฝรั่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักกับสัญญลักษณ์ ‘ถุงยาง’ อนามัย
ตรงนี้เลยได้ช่องเถียงปี่ป้อมหน่อยนึง ว่าชายที่สรรพยอกตัวเองเป็นซ้ายตีกะหรี่
หรือ ‘ซ้ายบรั่นดี’ ‘ซ้ายการ์แด็ง’ สมัยนั้นพวกเขารู้ตัวนะว่าชอบซ้ายๆ
ในยุคที่ความ ‘เสรี’ เริ่มเบ่งบาน เคยอ่านสรรนิพนธ์
‘เหมา’ เชิดชู ‘หลวงประดิษฐ์’ และอินกับ ‘จิตร ภูมิศักดิ์’
แต่ว่ายังติดบรรยากาศ ‘วงเหล้า’ สนใจความเก๋ไก๋ของ ‘แฟชั่น’
โดยที่สังคมครั้งนั้นไม่ยอมรับว่าบรั่นดีและการ์แดงมันเป็นส่วนหนึ่งของเสรีนิยม
(ตะวันตก) ที่มากับประชาธิปไตย ความเป็น ‘ไทยๆ’ ฝังชิปเช่นนั้น ทำให้แปลงมาเป็นประชาธิปไตยแบบมีประมุข
มันเป็น ‘dilemma’ ความอึดอัดที่เด็กไทยรุ่น ‘มิลเล็นเนียลส์’ สมัยนี้เผชิญ กับการเบี่ยงเบนประชาธิปไตยในความต่างที่ (ควรจะ) อยู่ด้วยกันได้
ไปสู่มาตรฐานกลางอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่ง ‘ถูกต้อง’ ยิ่งกว่า