นี่คิดเอาเองนะ เหตุที่โปรเฟ็สเซ่อโฆษก ‘โชว์งั่ง’ โพสต์รูปข้าวกะเพราไข่ดาวในกล่องพล้าสติกที่นายกฯ
กินบนเครื่อง อวด ‘สมถะ’ ทำให้เสียหน้าว่าไม่
‘รักษ์โลก’ เลยโดนนายด่า “ทีหลังอย่าให้เห็นอีก”
เสร็จต้องออกมาขอโทษขอโพย หนู “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”
นั่นน่ะ เพื่อกลบเกลื่อนงบกรณีประมาณกลาโหมเพิ่ม ที่ประชาชนร้องว้าก็เป็นได้
ลูกไม้วิชามาร คสช. อย่างนี้ลิ่วล้อต้องเรียนไวสิ
ผ่านแล้วมติ ครม. คสช.๒ ของประยุทธ์
สำหรับปี ๒๕๖๓ วงเงิน ๓.๒ ล้านล้าน เพิ่มจากปีที่แล้ว ๒ แสนล้านบาท “อีกทั้งยังเป็นการตั้งงบขาดดุลบัญชี
๔๖๙,๐๐๐ ล้านบาท
ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่ตั้งงบขาดดุล ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท”
ทั้งนี้อ้างว่า “เป็นการจัดสรรตามยุทธศาสตร์สำคัญ
๖ ด้าน” จึงได้มีหน่วยงานที่ได้งบประมาณเพิ่มตามนโยบายสืบทอดอำนาจระนาว เช่น
กลาโหม คลัง มหาดไทย พัฒนาสังคม ดิจิทัล เกษตรฯ ฯลฯ และสำคัญขาดไม่ได้คือ ‘งบกลาง’
ที่นายกฯ จะควักใช้ได้ทันทีเหมือนมีเงินสดติดกระเป๋า
ปีนี้ถึง ๕ แสนล้านกว่า เพิ่มขึ้น ๔๗,๒๓๘ ล้านบาท นอกเหนือจากที่มหาดไทยได้สองทาง
นอกจากงบฯ ปกติ ๓.๕ แสนล้านแล้ว มีงบฯ ปกครองท้องถิ่นอีก ๕.๕ หมื่นล้านด้วย
โดยเฉพาะสำหรับปี ๖๓ มีงบ “รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง”
(ที่ คสช.๑ ถลุงไปตลอด ๕ ปีที่ผ่านมาแล้วยังไม่ได้ใส่กลับ) ถ้วนๆ อีก ๖๒,๗๐๙
ล้านบาทด้วย นอกนั้นก็มีงบฯ สำหรับ ‘ส่วนราชการในพระองค์’
ที่สะดุดตาพสกนิกรพอควร ปีนี้ได้ ๗,๖๘๕ ล้านบาท
เหตุที่มีความสนใจต่องบฯ ส่วนนี้เกิดขึ้นน่าจะเพราะว่า
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ นี่ทรงเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก (๓,๕๐๐
ล้านดอลลาร์) ตามการจัดอันดับของฟอร์บเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งในรัชสมัยของพระชนกนาถก็ทรงรวยขนาดนี้แหละ
แต่ว่าตอนนั้นมีการจัดบัญชีก้ำกึ่งอยู่นิดหน่อย
บางส่วนในทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เหมือนว่ากระทรวงคลัง (แผ่นดิน)
เป็นเจ้าของร่วม แต่มารัชสมัยนี้ คสช.จัดการโอนให้เป็น ‘ส่วนพระองค์’ หมดแล้ว จึงมีประชากรบางส่วนที่ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกหนาบาง
งงๆ กันบ้าง
ไม่ทราบว่า “แผนงานพื้นฐานด้านความมั่นคง” ในงบฯ
สำหรับส่วนราชการในพระองค์ที่ปีนี้เพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว ๑๓ เปอร์เซ็นต์ (ตัวเงิน
๘๘๕ ล้านบาท) นั้นจำเป็นต้องแยกออกมาจากงบฯ
ความมั่นคงของกระทรวงที่ได้เพิ่มหลายพันล้านด้วยเหตุใด
อย่าง ‘กลาโหม’
ที่งบฯ ปี ๖๓ อยู่ที่เกิน ๒.๓ แสนล้าน กองทัพบกเอาไปมากสุด ๑.๑๓
แสนล้าน เพิ่มจากปี ๖๒ สองเปอร์เซ็นต์กว่าๆ โดยไปเติมให้แผนงานความมั่นคง ๑๕,๙๓๐
ล้าน ศักยภาพป้องกันประเทศ ๓๒,๙๖๐ ล้าน
แล้วยังมีที่เพิ่มให้แผนงานซ้ำซ้อน เช่น “แผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลัก”
๓๓๖ ล้าน กับ “แผนงานยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง”
อีก ๓,๖๕๙ ล้าน อย่างนี้เป็นต้น
มีข้อชวนสังเกตุต่อการที่กองทัพและสำนักราชวัง
มีความพัวพันกันอยู่ในด้านความมั่นคง ให้ต้องตั้งงบฯ ซ้ำซ้อนบางอย่าง
บังเอิญมีบทความของสื่อนอกจากอังกฤษบอกว่า
กองทัพไทยยุคนี้แนบสนิทกับราชวังยิ่งกว่าสมัย ร.๙ เสียอีก
ดิ เอ็คคอนอมิสต์ ไม่รู้มโนหรือเปล่านะ ว่า
“อำนาจของประยุทธ์เหนือกองทัพบกที่เขาเคยกำกับกำลังจางลงไป โดยมี ‘คิงมหาวชิราลงกรณ์’ เข้ามาแทนที่ ทรงมีอิทธิพลเหนือ ‘คนในเครื่องแบบ’ ทั้งชายและหญิงอย่างรวดเร็วมาก”
บทความชื่อ “Relations between
Thailand’s army and king are becoming one-sided.” บอกว่า อภิรัชต์
คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.จะเกษียณปีหน้า ผู้บัญชาการคนต่อไปจะต้องมาจากทหารรักษาพระองค์
(วงศ์เทวัญ) ร.๑ แน่ๆ
ดิ เอ็คคอนอมิสต์อ้างนักวิชาการมหาวิทยาลัยนเรศวร
พอล เชมเบอร์ ว่า “วันของประยุทธ์ลดน้อยลงไปทุกทีแล้ว” และ “เมื่อสิ่งที่หนีไม่พ้นเกิดขึ้น
การรัฐประหารครั้งต่อไปโดยทัพบก จะอยู่ภายใต้บัญชาการของพระมหากษัตริย์”
(https://www.economist.com/asia/2019/09/07/relations-between-thailands-army-and-king-are-becoming-one-sided และ https://www.bbc.com/thai/thailand-49590530BgKo)
ส่วนราชการที่ได้รับงบประมาณชนิดที่ชาวบ้านหูตาลุก
น่าจะเป็นกระทรวงใหม่ที่กลายสภาพมาจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
เดี๋ยวนี้เรียกกระทรวงอุดมศึกษา...เติมท้ายด้วย ‘นวรรตกรรม’
ได้รับการตั้งงบให้ ๑๔๐,๔๔๔ ล้านบาท
นอกจากจะได้เพิ่มจากเดิมเกือบ ๓
พันล้านแล้ว มีข้อน่าฉงนตรงที่กระทรวงนี้รวบเอาสถาบันอุดมศึกษามาอยู่ในครอบทั้งหมด
แต่มีมหาวิทยาลัย ๕๓ แห่งถูกปรับลดงบประมาณลง มหิดลโดนไปเป็น ‘พันล้าน’ อีก ๒๓ สถาบันโดนหั่นกันในหลัก ‘ร้อยล้าน’ จุฬา ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา
บูรพา โดนกันถ้วนหน้า
ขณะที่หน่วยงานด้านนิติบัญญัติและตุลาการก็ถูกลดงบประมาณกันระนาวเหมือนกัน
สำนักเลขาธิการสภาลด ๑๘ เปอร์เซ็นต์กว่า เลขาธิการสภาผู้แทนฯ ลด ๑๓ เปอร์เซ็นต์
ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และอื่นๆ งบฯ รวมลดลง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ครึ่ง