‘ธรรมนัส’ ว่าไง
ตัวอย่างมีให้เห็นโทนโท่แล้วนะ
ที่อ้างว่าคดีขนยาเสพติดนำเข้าออสเตรเลียจากไทยซึ่งตนเคยเป็นจำเลยหลัก ได้ ‘plea
bargaining’ แล้วถือว่าไม่มีคดีติดตัวน่ะ ดูจากศาลญี่ปุ่นซะ จะได้เลิกแกล้งทำเป็นสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเสียที
“ศาลเมืองโตเกียวของญี่ปุ่นพิพากษาจำคุก
ซะโตชิ อุชิดะ อดีตผู้บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ ฮิตาชิ พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ เป็นเวลา
๑๘ เดือน โดยให้รอลงอาญา ๓ ปี ในคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ของไทย” ตามข่าวโพสต์ทุเดย์
เมื่อ ๑๔ กันยานี้เอง
คดีนั้นเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอมใน
จ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี ๒๕๕๘ เหตุที่ศาลรอลงอาญาเพราะว่าจำเลย ในฐานะบริษัทมิตซูฯ
รับสารภาพพร้อมกับ “ให้ความร่วมมือในกระบวนการไต่สวนและพิจารณาคดีเพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานในการตัดสินคดี”
ที่ทางสากลเรียก ‘Plea
Bargain’ ซึ่งโพสต์ทูเดย์แปลว่าเป็น “การต่อรองคำรับสารภาพ”
โดยในคำพิพากษาระบุ นายอุชิดะและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกสองคน “ร่วมกันติดสินบนเจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมไทยจำนวน
๑๑ ล้านบาท” เมื่อเดือน ก.พ. ๒๕๕๘
ต้นเหตุที่ทำให้ผู้บริหารบริษัทมิตซูฯ
ต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่ไทย “เพื่อให้ได้รับความสะดวกเป็นพิเศษในการนำสินค้าออกจากท่าเรือ”
หลังจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ไทยว่าบริษัทมิตซูฯ ทำผิดระเบียบการท่าเรือไทย
สินค้าต้องถูกกักเอาไว้
เบื้องหลังของการ ‘พลีบาร์เกน’ ดังกล่าวเกิดจากทางบริษัทมิตซูฯ
ซึ่งจัดหาเครื่องจักรโรงไฟฟ้าให้แก่โครงการขนอมใน ได้รับแจ้งจากผู้หวังดีว่าโครงการก่อสร้างให้ไทย
มูลค่า ๓ หมื่นล้านบาท มีการทุจริตติดสินบน
บริษัทจึงเริ่มตรวจสอบในองค์กรของตน และ “แจ้งกับสำนักงานอัยการกรุงโตเกียว
และทำข้อตกลงต่อรองคำรับสารภาพเมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว” อันเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนกระบวนการยุติธรรม
ทั้งที่จำเลยเป็นคนของบริษัทเอง
ที่จริงบอกเรื่องนี้กับธรรมนัสคงไม่เป็นประโยชน์อะไรกับการกู้ชื่อเสียให้แก่ความเป็น
‘คนไทย’ เท่าไร
ผู้ที่ควรให้ความสนใจต้องเป็นทั่นรองนายกรัฐมนตรี ‘หัวหมอ’
ของรัฐบาล คสช.๒
ที่ชอบตีความกฎหมายไทยแบบแถกแถอยู่เสมอเมื่อเป็นเรื่องเข้าเนื้อ ความผิดจะแจ้งของคณะสืบทอดอำนาจ
และคนที่ต้องใส่ใจมากกว่าใครๆ
ในสุวรรณภูมิก็ต้องตัวนายกฯ เองนั่นแหละ รีบนำตัวเจ้าหน้าที่ไทยที่รับสินบนมาดำเนินคดี
นี่เป็นความรับผิดชอบของนายกฯ โดยตรง อย่าปัดสวะไปให้รัฐบาลที่แล้วอีกล่ะ เดี๋ยว โดนบิ๊กตู่
‘เคือง’ เอานะ