วันพฤหัสบดี, กันยายน 19, 2562

หลุดได้ง้ายง่าย ศาลรัฐธรรมนูญให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อ เพราะคือผู้ยึดอำนาจ


หลุดได้ง้ายง่าย คดีประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญที่จะรับตำแหน่งนายกฯ ศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นดองกับ คสช. (ในเมื่อแต่ละคนถ้าไม่ตั้งมากับมือก็ต่ออายุให้ยาว) บอกว่าอ้างกฎหมายข้อไหนก็ไม่ผิด เพราะเขาเป็นผู้ยึดอำนาจ

ศาลรัฐธรรมนูญไทยนี่เป็นเป็นองค์กรทางกฎหมายที่วิเศษสุดในโลก วินิจฉัยรองรับอำนาจเบ็ดเสร็จเผด็จการเท่านั้นไม่พอ ออกกฎเหล็กห้ามวิจารณ์คำตัดสินทุกอย่าง ตั้งแต่เดือนหน้าใครหือโดนเอาตาย

เมื่อ ๑๗ กันยา ราชกิจจาฯ เผยแพร่ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญ ลงนามโดยประธาน นุรักษ์ มาประณีต มีด้วยกัน ๑๐ ข้อ ซึ่ง “iLaw กล่าวว่าสิ่งน่าสนใจอยู่ในข้อที่ ๑๐” ซึ่ง “ห้ามบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายตามคำสั่งศาล หรือวิจารณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยของศาลโดยไม่สุจริต...”

เป็นการเขียนย้อนรอยข้อกฎหมายคล้ายคลึงกันที่มีอยู่แล้วใน พรป.ศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๘ อันทำให้ผลกระทบแตกต่างจนแทบจะเป็นตรงข้าม ในเมื่อมาตรา ๓๘ ระบุว่า “การวิจารณ์คําสั่งหรือคําวินิจฉัยคดี ที่กระทําโดยสุจริต...ไม่มีความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล”

นั่นคือราชกิจจานุเบกษา ที่จะมีผลบังคับในวันที่ ๑๗ ตุลาคมเป็นต้นไปนี้ ห้ามเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น ขณะที่มาตรา ๓๘ เป็นข้อยกเว้น อีกทั้งผู้มีอำนาจที่จะบอกว่าใครวิจารณ์ศาลโดยสุจริตหรือไม่สุจริต ก็คือศาลนั้นเองอีกน่ะแหละ

นั่นโดยไม่ต้องคำนึงถึงของตายอย่างการ “ใช้ถ้อยคําหรือมีความหมายหยาบคายเสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย” ต่อศาล ย่อมผิดเต็มประตูอยู่แล้ว ในเมื่อ พรป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญให้อำนาจประธานเป็นผู้ออกข้อกำหนดในเรื่องนี้ทั้งหมด

 
ดังนั้น ประชาชนจะได้เห็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ ไม่เอาผิดแก่หัวหน้าและกับคนสำคัญในรัฐบาล คสช.๒ บ่อยขึ้น แม้จะแย้งหรือเลี่ยงความจริงไปอย่างทะแม่งๆ ดังการตัดสินคดีที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านรวม ๑๑๐ คน ยื่นฟ้องเรื่องคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี

นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้านอ้างรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ว่านายกฯ ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีลักษณะต้องห้ามในความเป็น เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐทั้งนี้โดยความเชื่อมโยงจากมาตรา ๑๗๐ วรรค ๑(๔) ไปยังมาตรา ๑๖๐ และมาตรา ๙๘(๑๕)

แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับวินิจฉัยว่า ฐานะของประยุทธ์คือ “หัวหน้าคณะรักษาความความสงบแห่งชาติ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจ และเป็นตำแหน่งที่ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ”

“ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชา หรือการกำกับดูแลของรัฐ หรือหน่วยงานรัฐใด” อีกทั้งตำแหน่งนี้ “ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายกำหนดกระบวนวิธีการได้มา...” ซ้ำยัง “มีอำนาจหน้าที่เป็นการเฉพาะชั่วคราว ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง”

จึงถือว่า “ไม่มีสถานะ ตำแหน่งหน้าที่ หรือลักษณะงานทำนองเดียวกันกับพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ด้วย ฉะนั้นให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปได้


จะเห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่เพียงย้อนรอยตัวกฎหมายที่ให้อำนาจนั้นเองแล้ว ยังย้อนแย้งกับหลักเหตุผลในความเป็นจริงอย่างดึงดัน (หากคำของ อจ.โกวิทย์ วงศ์สุรวัฒน์ มาใช้ก็ได้ว่า ด้านๆ) ดังที่อาจารย์รัฐศาสตร์ มธ. สรุปย่อไว้ว่า

“ใช้อำนาจรัฐแต่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ? ไม่ได้รับการแต่งตั้งโดย กม.แต่ออก กม.และบังคับใช้ กม.กับหน่วยงานรัฐ เอกชน และปชช.?, ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐตาม กม.แต่รับเงินเดือนจากภาษีของ ปชช.?” ประจักษ์ ก้องกีรติ เขียนบนทวิตเตอร์

ร้ายที่สุดตรงที่มีอำนาจแค่ ชั่วคราวแต่อยู่ยาวนานถึง ๕ ปี ยาวกว่ารัฐบาลปกติ (ที่เป็นผลจากการเลือกตั้ง) ทุกรัฐบาลในประวัติศาสตร์ของไทย อีกด้วย