สองวันมานี่เสียงยี้เต็มโซเชียลว่าปัญหาฝุ่นจิ๋วในอากาศมากเกินความปลอดภัย
“กลับมาเยือนกรุงเทพฯ อีกแล้ว” ทั้งที่ยังไม่ทันจะเริ่มหน้าหนาว (Pravit Rojanaphruk) ค่าพีเอ็ม ๒.๕ หลายจุดเกินร้อยถึง ๑๗๕
“วันนี้ (๓๐ ก.ย.) กรุงเทพฯ เราขึ้นอันดับ ๓ ของโลก ในด้านมลพิษทางอากาศ แล้วครับ” Decharut Sukkumnoed ทวี้ต เช่นกันกับ Witsanu Attavanich “ตามนัด ฝุ่นพิษกรุงเทพฯ อันดับ ๒ ของโลก!
อยู่ในระดับอันตรายมาก”
พร้อมย้ำเตือน “เด็ก สตรีมีครรภ์
และผู้สูงอายุ ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านนะครับ #มัจจุราชมืด” แสดงว่าอาการหนัก แถมไต่อันดับร้ายแรงพรวดพราดเร็วมากด้วย
โดยที่เมื่อวาน ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า
ตอนสองทุ่มครึ่ง “อากาศโดยทั่วไปของกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐาน US
AQI อยู่ที่ ๑๕๒ (PM 2.5 อยู่ที่ 57.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ติดอันดับที่ ๘ เมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก”
เชียงใหม่ก็ไม่เบาได้อันดับ ๑๓ ค่าเอคิวไออยู่ที่
๑๒๙ แต่ในแบงค็อกบางแห่งถึง ๑๗๕ ประชาชื่น ๑๗๐ สีลม ๑๕๔ เยาวราช ๑๖๖
ทั้งนี้ตามเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) บ่งว่าจะให้ดีต้องต่ำกว่าร้อยลงมา
๑๐๑-๑๕๐ ไม่ดีกับผู้ที่สุขภาพอ่อนไหว ๑๕๑ ขึ้นไปไม่ดีกับใครทั้งนั้น
มีคนบอกว่ารัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตอนขึ้นภาคสองใหม่ๆ คุยว่าสามารถกำจัดปัญหาฝุ่นได้แล้ว จากการให้
กทม.ระดมฉีดน้ำขึ้นฟ้า มาถึงวันนี้หน้าทวิตเตอร์ @prayutofficial ชิงปูดกับเขาบ้างว่า “เช้าวันนี้ หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ
และปริมณฑลมีปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5
อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานครับ”
แล้ว “ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนที่ได้เตรียมไว้อย่างเร่งด่วน
และขอความร่วมมือสถานที่ก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม
ลดการระบายฝุ่นและมลพิษทางอากาศในช่วงนี้ครับ” เดี๋ยวรอดูแป๊ป
ว่าแผนที่เตรียมไว้ได้เรื่องไหม
หวังว่าคงไม่ต้องกูเกิ้ลเพิ่มเติมมั้ง
และหวังอีกด้วยว่าจะไม่เกิดอาการ ‘ระบบล่ม’
เหมือนโปรโมชั่น ‘ชิมช้อปใช้’ เพื่อให้คนที่ได้รับบริการประชารัฐ แจก ๑,๐๐๐ กับ ๕๐๐ กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเกื้อหนุนผู้สูงอายุ
แต่เอาเข้าจริงดันออกประกาศช่วงใกล้วันเริ่มว่า
เงินที่ได้รับแจกเอาไปจับจ่ายในร้าน ‘เซเว่น’ ห้างโลตัส และบีกซี ขาใหญ่ทั้งหลายได้ งานนี้เลยไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจต่างจังหวัดหรือว่ารากหญ้าสักเท่าไร
คนที่จะรับเละกลายเป็นบรรดา ‘เจ้าสัว’
ความที่ไม่ได้เตรียมแผนจัดการให้ดี
พอคนแห่ไปช้อปห้างกันมาก ระบบการใช้สิทธิ์ในโครงการเกิดล่ม นักช้อปไทยสมาธิสั้น ต่อคิวนานรอไม่ไหวพากันทิ้งรถเข็นที่ใส่ของเต็มระนาว
บริเวณหน้าจุดจ่ายเงินกลายเป็นดงรถเข็นแน่นเต็ม
“บอกตรงๆ ช่วยไม่ได้ สิ่งนี้รัฐบาลนำเสนอเอง
และซีพี บิ๊กซี โลตัส ก็เข้ามาคว้าผลประโยชน์ จุดหลักๆ
ตอนแรกบอกให้ใช้กินเที่ยวสินค้าพื้นบ้าน พอคนแห่สมัครก็เปลี่ยนให้ห้างร่วมรายการ
เป้นผมถ้าไปแล้วใช้ไม่ได้ก็กองไว้ตรงนั้นแหละ”
คอมเม้นต์บนเพจกระปุกรายหนึ่งสวด
ต่อเนื่องกับโพสต์ของผู้ประสบเหตุการณ์ที่โลตัส “เจอแบบนี้เลยจ้าแม่เจ้า
พนักงานประกาศว่าตอนนี้ระบบธนาคารล่มไม่สามารถใช้ได้ เท่านั้นแหละจากต่อคิวยาวๆ นะ
เดินหนีจากรถเข็นเลย...”
แต่นั่นยังปัญหาย่อยระดับผู้บริโภค
ปัญหายักษ์ระดับชาติก็ยังมี ที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ที่ยืดเยื้อมาจนกระทั่งกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้งและพันธมิตรฟาดสัมปทาน ๕๐ ปีไปทำ
โดยฮั้วกับบริษัททางด่วนกรุงเทพฯ (BEM)
ไชน่าเรลเวย์ ช.การช่าง และอิตาเลี่ยนไทย
แต่จนวันนี้ จากรัฐบาลตู่ ๑ ถึงตู่ ๒ ยังไม่ได้เซ็นสัญญา
ล่าสุดขยับจากเดือนกันยาไปเป็นพฤศจิกายน
นัยว่าทีมฮั้วของซีพีมีข้อขอต่อรองหลายอย่าง จนต้องมีการขู่จะยึดเงินมัดจำ ๒
พันล้านบาท แล้วเชิญผู้ยื่นวองประมูลอันดับสองเข้ามาสวม
มติชนสุดสัปดาห์เสนอรายงานเรื่องนี้ว่ากลุ่มผู้ประมูลอันดับสองนี้เป็นชุดของ
‘บีเอสอาร์’ และซิโน่-ไทย
ของตระกูลกาญจนพาสน์และชาญวีรกูลตามลำดับ โดยเฉพาะรายหลังนี่เสี่ยหนู ‘อนุทิน’ รองนายกฯ คนโปรดของประยุทธ์เป็นเจ้าของ
ควบกับศักดิ์สยาม ชิดชอบ
น้องชายเนวินที่คุมคมนาคมด้วย
กลายเป็นเรื่องขบเหลี่ยมการเมืองระหว่างหัวคะแนนกับเจ้าสัว เลยทำให้รัฐบาลตู่ ๒
มัวแต่พะวงกับการชิงเหลี่ยมซ่อนเล่ห์มากกว่ามุ่งหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้าปากแห้ง