วันศุกร์, กันยายน 27, 2562

ผลวิจัยยัน ‘จัดสรรปันส่วนผสม’ ก่อความยุ่งยากวุ่นวาย


ยืนยันแล้วด้วยการวิจัยตามหลักวิชาการด้านกฎหมาย ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ เป็นปัญหา เนื่องจากวิธีการ จัดสรรปันส่วนผสม ก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย ขัดแย้งไปทั่ว ทั้งภายในพรรคและระหว่างพรรค

คณะนิติศาสตร์ มธ.เปิดเผยผลงานการวิจัยจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ ที่ใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ คสช.จัดการร่าง ผ่านทาง กรธ.กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และ สนช.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ตนแต่งตั้ง

พบว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหา มากที่สุดที่การคำนวณจำนวน ส.ส.ตามมาตรา ๙๑ “สามารถตีความได้มากกว่า ๑ วิธี ซึ่ง กกต.ไม่มีการประกาศวิธีคำนวณให้ชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เกิดความยุ่งยาก ประชาชนขาดความเชื่อถือ”

ความยุ่งยากประการหนึ่งเกิดจาก “ประชาชนไม่สามารถเลือกผู้สมัครแบบแบ่งเขตกับแบบบัญชีรายชื่อต่างพรรคได้” แล้วยังเกิดการขัดแย้งภายในพรรคเดียวกันด้วย เนื่องเพราะ “ผู้สมัครแบบแบ่งเขตต้องหาเสียงเหน็ดเหนื่อย ขณะที่เหมือนหาเสียงให้ ส.ส. บัญชีรายชื่อมากกว่า แล้วแบ่งเขตสอบตก

อีกทั้งพรรคการเมืองพยายามส่งผู้สมัครแบบแบ่งเขตจำนวนมากเข้าไว้ ไม่จำเป็นว่าจะหวังผลให้ชนะเลือกตั้งเสมอไป เพียงให้ได้คะแนนรวมเฉลี่ยไปให้กับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นอกจากนี้ปัญหาในการเกิด ส.ส.เอื้ออาทร ทำให้เสถียรภาพทางการเมืองไม่แน่วแน่ “มีพรรคที่มี ส.ส.คนเดียวสูงถึง ๑๓ พรรค”

แล้วยังผู้ใช้สิทธิไม่สามารถเลือกผู้สมัครแบ่งเขตกับบัญชีรายชื่อต่างพรรคกันได้ เกิดความขัดข้องไม่รู้จะไปทางไหน หรือ รักพี่เสียดายน้อง ซ้ำ “การแบ่งเขตเลือกตั้งเหลือ ๓๕๐ เขตโดยไม่ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นทำให้เกิดความไม่สะดวกในหลายพื้นที่”

ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง เช่น “การขยายเวลาปิดหีบเลือกตั้งและลดจำนวนกรรมการประจำหน่วย ทำให้กระบวนการนับคะแนนมีความยุ่งยาก เกิดปัญหามากกว่าประโยชน์” หรือ “การเลือกตั้งล่วงหน้าเกิดความผิดพลาดในการส่งบัตรเลือกตั้ง

ผู้มาใช้สิทธิไม่ตรงเขตของตนเอง ควรยกเลิกการรายงานผลอย่างไม่เป็นทางการ” แต่การยกเลิก กกต.จังหวัด กลับตาลปัตรเพราะ “ตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบเลือกตั้ง”

ทำให้ผู้ใช้สิทธิไม่ต่ำกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เข้าใจระบบที่ทำให้ซับซ้อนมากเรื่อง อันเป็นเสียงครหามาแต่แรกเริ่มว่า คสช.ต้องการให้พรรคการเมืองอ่อนแอ กลายเป็นเบี้ยหัวแตก เพื่อที่ คสช.ซึ่งกุมอำนาจพิเศษในการวางยุทธศาสตร์ชาติ และแต่งตั้งวุฒิสมาชิก สามารถกุมอำนาจต่อไปอีกยาวนาน


อนึ่ง มีเสียงเล็ดลอดออกมาจาก มธ. อีกโสดหนึ่งว่า “รองศาสตราจารย์หนุ่มแห่งสำนักท่าพระจันทร์ได้เป็นโจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางขอให้ศาลเพิกถอนข้อกำหนดข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ ในส่วนที่ระบุว่าผู้ใดฝ่าฝืนข้อ ๑๐ ให้ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ”
 
ผู้ใช้นาม Thawat Damsa-ard โพสต์ข้อความบนเฟชบุ๊คว่า “ฟ้องแล้ว” ต่อข้อกำหนดในวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าผู้ใดฝ่าฝืน “ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๙”

ซึ่งเป็นที่วิจารณ์กันมากว่า ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ปราศจากการตรวจสอบและถ่วงดุล ผู้ร้องจึงขอให้ศาลปกครองกลาง “ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน ตามข้อ ๔๙/๒ ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด”

พร้อมทั้งขอให้ “ศาลปกครองโปรดพิจารณาให้ทุเลาการบังคับข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ ของข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พศ.๒๕๖๒ จนกว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษา” ด้วย


นี้เป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด ในความพยายามที่จะสกัดกั้น ลดทอนการสืบทอดอำนาจของคณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครองเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว ได้เพียงใด