นี่มันตรรกะเดียวกับจำนวนต้องหาอาญา ๑๑๒ เลยละ “ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยทะลุ
๑๒ ล้าน” ถ้ามันดีจริงก็ไม่ควรมีเพิ่มนะ
“ปีนี้ผู้มีรายได้น้อยให้ความสนใจไปลงทะเบียนมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง
๔ ล้านคน เฉลี่ยวันละ ๓๒๐,๐๐๐ คน
โดยคาดว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่าจะดูแลช่วยเหลือด้านสวัสดิการจริง”
ไม่รู้ว่าซื่อบื้อหรือแกล้งเซ่อ
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเอามาอ้างเข้าข้างตัวเอง “เน้นย้ำว่า
รัฐบาลต้องการแบ่งเบาภาระผู้มีรายได้น้อยและช่วยเหลือให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง”
จากนั้นนายกฯ นักยึดอำนาจไปพูดต่อยหอยต่อในรายการวันศุกร
“ขอผู้มีรายได้น้อยเปลี่ยนตนเอง
เปลี่ยนความคิด เพิ่มความขยันขันแข็งอดทน
โอกาสจะมีอยู่เสมอ อย่าเกียจคร้าน รอรัฐบาลช่วยเหลือตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้”
ใครอยากรู้ละเอียดว่าวันนั้นประยุทธ์พล่ามอะไรบ้างไปที่ประชาไท
http://prachatai.org/journal/2017/05/71457
มีโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐบาลจีนด้วย เรื่องนโยบาย ‘One Belt One Road’
หรือเส้นทางสายไหม ที่เขามีประชุมกันที่ปักกิ่ง นายกฯ มาเลย์ เดินทางไปเซ็นเอ็มโอยูเปิดศูนย์เศรษฐกิจไซเบอร์กับแจ็ค
หม่า แต่ประยุทธ์ไม่ได้รับเชิญ
อ่านจากที่มีคนเขาเก็บเอามาเม้าท์กันบนโซเชียลมีเดียแล้วเห็นภาพเจิดจรัสเชียวละ
“นายกบัดซบ
อวดตัวว่ามีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์” อจ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ลั่นมาจากเกียวโต
“บอกว่าชาวนายากจนเพราะขี้เกียจ และขอให้พึ่งตัวเองเพราะรัฐบาลไม่สามารถช่วยได้ตลอด...ปากหมาซี้ซั้วว่าเค้าขี้เกียจ...แล้วไม่ทราบว่าจะมีรัฐบาลไว้ทำสากเบืออะไร
เมื่อรัฐไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
อ้อ ลืมไป ไม่มีใครเลือกรัฐบาลเฮงซวยนี้เข้ามา แต่เสือกยึดอำนาจเข้ามาเอง
ช่วยชาวบ้านไม่ได้ก็ไสหัวออกไปซะ”
ด้านพิภพ อุดมอิทธิพงศ์
บอกว่าจำนวนผู้ #ลงทะเบียนคนจน เท่ากับ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว “พูดอีกอย่าง หนึ่งในห้าของคนในประเทศไทยเป็นคน (ที่) จนมาก”
พร้อมชี้ว่า
“สวนดุสิตโพลสำรวจความเห็นประชาชน ๘๔%
อยากให้เน้นการแก้ปัญหาปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชน...
ยังมีหน้ามาแถลงว่าประชาชน
‘มั่นใจ’ ในรัฐบาล คนจนเพิ่มขึ้นทุกปี ประชาชนกังวลเรื่องปากท้องเป็นหลัก
แสดงว่าที่คุณบริหารประเทศมาสามปี มันผิดพลาดไม่ได้ผล คนจนถึงเพิ่มขึ้น
สมองเขาปรกติดีหรือเปล่า”
เขายกเอาข่าวโพสต์ทูเดย์ที่ว่า
“ทางเท้าโล่ง-ผู้ค้าอ่วม
"วันนี้ขายแทบไม่ได้" เสียงครวญถึงการจัดระเบียบ” มาย้ำความจริง
“ยอดขายเหลือเพียง ๑๐% จากเมื่อก่อนที่ขายได้วันละไม่ต่ำกว่า ๖ พันบาท ปัจจุบันขายได้เพียงวันละ ๑,๐๐๐ กว่าบาท ยังต้องเสียค่าเช่าอีกวันละ ๘๐๐ บาท ทำให้ตอนนี้แทบไปไม่รอด”
แล้วรัฐบาล คสช.
ทำอะไรไปบ้างนอกจากที่คุยๆ ไว้เยอะแยะ เจ้าของสมยา Shutup.2017 @shutup2557 บนทวิตเตอร์
เสนอข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่าเป็น “ผลงาน ๓ ปี รัฐบาล คสช. #ความภูมิใจของลุงตู่”
คือ
“ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ มีจำนวน ๖,๑๖๐,๕๔๙.๓๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๒๗
ของ GDP”
การนี้เนื่องมาแต่ หนี้รัฐบาลเพิ่มขึ้น ๙๐,๗๒๐.๗๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐก็เพิ่มขึ้น ๗๖.๓๓
ล้านบาท ขณะที่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันหนี้ลดลง
อ่านเอาเรื่องง่ายๆ
ได้ความใช้เงินมือเติบ จับจ่ายไม่บันยะบันยัง อย่างกรณีนโยบายกำจัดผักตบชวา ที่อธิบดีกรมชลฯ
แถลงว่าขณะนี้เบาบางลงแล้ว จะไม่ของบฯ เพิ่มจากที่ได้รับประจำปีละ ๑๒๐ ล้านบาท
แต่ว่าช่วงสามปีที่ผ่านมานี่
“หน่วยงานรัฐหลายแห่งไม่รวมกรุงเทพ มหานคร ได้ใช้งบประมาณกว่า ๘๓๔ ล้านบาท กำจัดผักตบชวาไปได้
๒๒.๓๗ ล้านตัน
เฉลี่ยปีละประมาณ ๔.๔๗-๖.๙๙ ล้านตัน...
ขณะที่กรุงเทพมหานครใช้งบ ๑,๕๕๙ ล้านบาท กำจัดผักตบชวาได้ ๑.๘ ล้านตัน”
คำนวณคร่าวๆ เท่ากับสามปีนี่ใช้งบประมาณไปทั้งสิ้น
๒,๓๙๓ ล้านบาท กำจัดผักตบชวาได้ ๒๔ ล้านตัน
ทั้งนี้หลังจากที่
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีเกษตรฯ ที่มีข่าวลือว่าเป็นหนึ่งในจำนวนรัฐมนตรีวงนอก
คสช. สี่ซ้าห้าคนซึ่งถึงคราถูกถ่ายเลือดหลุดโผ ออกมาแสดงความแข็งขัน
“สั่งกรมชลฯ ดำเนินมาตรการกำจัดผักตบชวา
พร้อมประสานทหารเข้าช่วย” (FM100.5 News Network)
คงจำกันได้นโยบายกำจัดผักตบชวานี่แหละ
ที่เมื่อต้นปีนี้เองผู้ว่าฯ สตง. ออกมาเหน็บว่า “แพงกว่าทองคำ” เพราะตั้งงบฯ ๒.๕
พันล้านบาทเพื่อกำจัดผักตบ ๒๔ ล้านตันภายใน ๕ ปี
แสดงว่านโยบายนี้เกือบถึงเป้าหมายภายในสามปีกว่าๆใช้เงินไปราว
๒.๔ พันล้านใกล้เคียงประมาณการ เฉลี่ยการกำจัดผักตบของ คสช.
ครั้งประวัติการณ์นี้ใช้เงินราว ๑๐๐ ล้านบาทต่อ ๑ ล้านตัน