ไม่รู้ว่าจะมีคนไทยสักเท่าไรชอบใจการพูดในทางสาธารณะของ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.
ที่ครองบ้านครองเมืองหลังจากยึดอำนาจมาได้สามปี
เท่าที่เห็นเป็นเรื่องแกว่งปากจนเคยชิน หรือไม่ก็สร้างภาพโดยสันดานเสียมากกว่า เป็นการหลงตัวว่าวิเศษเหนือมนุษย์ของผู้เผด็จการไม่ว่าจะมาในรูปทรงใด
ถ้าวัดจากโพลสองสามแห่งที่มักเสนอว่าคนส่วนมาก (ระหว่าง ๖๐
ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์) มักพอใจการทำงานของหัวหน้ารัฐประหารผู้นี้
ก็อาจเหมาว่าประยุทธ์อยู่ในฐานะที่พูดอะไรคนจะเชื่อมากกว่าด่า
แต่ถ้าคำนึงถึงการนำเสนอผลสำรวจของโพลเหล่านั้นที่มีตัวอย่างสำรวจเพียงพันกว่าคน
(และซ้ำซาก) รวมทั้งตั้งคำถามชี้นำแล้วละก็ ไม่น่าที่จะเชื่อถือได้เต็มที่
ยิ่งเมื่อแนวโน้มของผลสรุปโพลเปลี่ยนจากความหวังว่า
คสช.จะทำได้ในการแก้ไขเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเริ่มหันหัวลงเหวเมื่อ
คสช.ยึดอำนาจได้เกือบปีนั้น มาสู่การพร่ำวิงวอนและภาวนาให้ คสช. สามารถแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้เสียที
ครบสามปีแล้วนี่
ประกอบกับหากนำเอาตัวเลขจากสื่อสังคมเข้ามาเทียบพิจารณา
จำนวนคนติดตามชมชอบหน้าเฟชบุ๊คของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เพิ่งผ่านหลัก ๖ ล้านไปเมื่อเร็วๆ นี้
ก็แสดงว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ถูกใจประยุทธ์และรัฐบาล คสช.ของเขาดังที่โพลอ้าง
แม้ผู้ที่ติดตามกดไล้ค์กดแชร์เพจยิ่งลักษณ์ ที่ส่วนใหญ่ลงภาพและเรื่องการไปศาลมีคนไปให้ดอกไม้ต้อนรับหนาแน่น
ไปเยี่ยมเยียน ทำบุญ ร่วมงานนักขัตฤกษ์ตามท้องที่ต่างๆ เพราะความสวยน่ารักของเธอเป็นหลัก
ทว่าคนที่ชื่นชมเหล่านั้นมีความรู้สึกเบื้องลึกหวนหาสภาพชีวิต
เศรษฐกิจที่ดีกว่า
รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความไม่พอใจในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เป็นจำนวนมากกว่าน้อย
ประยุทธ์ไปพูดให้โอวาทข้าราชการที่สำเร็จโครงการอบรมนักบริหารรุ่นใหม่เมื่อวันก่อน
(๑๗ พ.ค.) แนะนำข้าราชการอ่านหนังสือ ‘พูดอย่างไรไม่ให้พัง’ ซึ่งย้อนแย้งตัวเองอย่างยิ่งแล้ว
ยังมีคำพูดค้างคาประดุจว่าประชาชนไร้เดียงสาระดับเดียวกัน
“ขอให้คนรุ่นใหม่ (เขาเรียกว่า ‘สม้าร์ทไทย’) ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างหลักคิดที่ถูกต้อง
สร้างการรับรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การเลือกตั้งใครเข้ามาก็ได้...
รู้สึกเป็นห่วงในประเด็นตรงนี้ ไม่ใช่อยากอยู่สืบทอดอำนาจ
แต่กังวลว่าที่ทุกคนทำวันนี้จะล้มเหลว เมื่อเลือกตั้งแล้วได้คนไม่ดีกลับเข้ามา”
คนรุ่นใหม่หรือสม้าร์ทไทยที่ประยุทธ์อ้างเป็นพวกไม่เอารัฐประหารทั้งนั้น
จาก ‘จ่านิว’ ถึงเนติวิทย์ จากพริษฐ์ถึง ‘ไผ่ ดาวดิน’ คนเหล่านี้ที่ คสช. ของประยุทธ์พยายามกีดกั้น
และกระทั่งจับยัดคุกไว้ไม่ยอมให้ประกันตัว
โดยเฉพาะไผ่
เรื่องราวของเขาเป็นที่รับรู้ในระดับนานาชาติเมื่อเขาได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านสิทธิมนุษยชน
‘กวางจู’ เช่นเดียวกับที่อองซาน ซูจีเคยได้รับ
แม้ศาลจังหวัดขอนแก่นดึงดันไม่ยอมปล่อยตัวเขาเดินทางไปรับรางวัลที่กรุงโซล
เกาหลีใต้ หากแต่นายวิบูลย์
และนางพริ้ม บุญภัทรรักษา บิดามารดาของไผ่ เป็นผู้เดินทางไปรับมอบรางวัลแทนก็มิได้ทำให้ผลกระทบในการตบหน้ารัฐบาลทหารไทยน้อยลงไป
ในเมื่อข้อความที่ไผ่เขียนจากคุกไปใช้ในการตอบรับรางวัลมันกินใจคนที่ยึดมั่นสิทธิมนุษยชนและรักประชาธิปไตยทั่วโลก
“รางวัลนี้มันก็เป็นแค่รางวัล
แต่สิทธิเสรีภาพในประเทศมันไม่มีอยู่จริง
การต่อสู้ของผมต้องการให้ประชาชนในประเทศมีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง
ก็อยากให้มันเป็นของทุกคนไม่ใช่แค่ผม”
โอวาทของประยุทธ์ที่จริงเป็นการสับขาหลอก กลับกลายเป็นกลลวงเมื่อต่อด้วยการ
“พูดอ้อมๆ ไทยต้องมีความพร้อมทางทะเล” ที่ว่า
“ไม่ใช่การแก้ตัวแทนใคร แต่ย้ำว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีศักยภาพอย่างมีตัวตน
เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย และกำลังทหารอาจต้องมีมาก”
ชักแม่น้ำทั้งห้า เอาหลักเสมอภาค ประชาธิปไตย ระบบคุณธรรมมาอ้าง
แล้ววกเข้าหา ‘ซื้ออาวุธ’ เพราะ คสช.
กำหนดงบประมาณปีหน้าสำหรับจับจ่ายค่ายุทโธปกรณ์ที่บางส่วนก็ ‘ห่วยๆ’ ถึงกว่า ๒.๒ แสนล้าน
และยังมีงบกลางฯ ที่จับจ่ายใช้คล่องตามอำเภอใจอีกเกือบ ๔
แสนล้านบาท ขณะที่งบประมาณกลาโหมในสมัย คสช. นี้เพิ่มทุกปี จาก ๙ พันล้านบาทในปี
๕๗ เป็น ๑๙๒,๙๔๙ ล้านบาทในปี ๕๘ สู่ ๒๐๗,๗๑๘ ล้านบาท ปี ๕๙ มาถึงปีนี้ ๒๑๑,๖๔๙
ล้าน และ ๒๒๒,๔๓๖ ล้าน ปีหน้า
วิญญูชนที่รู้จักคิดวิจารณ์ย่อมตั้งคำถามว่า ประเทศไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สงคราม
การปราบผู้ก่อการร้ายภาคใต้ก็ไม่ใช่สงครามที่ใช้อาวุธหนักอย่างรถถัง เรือดำน้ำ
เครื่องบินขับไล่ มันมีนอกมีในอะไรกับการจัดซื้อจัดหา จัดจ้างบ้างไหม
Atukkit Sawangsuk ยกเอาบทความของสมหมาย ภาษี เรื่อง ‘เรือดำน้ำกับเครื่องบินขับไล่ F18’ มาเป็นอุทธาหรณ์
“การซื้อการขายจากจีน
จากยูเครน หรือแม้กระทั่งจากเกาหลีใต้ ผู้รู้เรื่องในระดับสากล
ไม่มีใครเขาเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องนอกในกันเพราะประเทศเหล่านี้ยังไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการซื้อขายที่ถูกต้อง
ที่สถาบันใหญ่ๆ เช่น ธนาคารโลก หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เขาวางไว้”
ถ้อยอภิปรายของ ‘บก.ลายจุด’ สมบัติ
บุญงามอนงค์ แถลงผลงาน ๓ ปีแทนประยุทธ์ในรายการ ‘จอมว้อยซ์’
ของ จอม เพชรประดับ ว่า “ไม่เพียงเป็นการเสียของเท่านั้นแต่ยังนำพาประเทศให้เละเทะลงไปอีก”
นั่นละเป็นข้อเท็จจริง
บก. บอกว่าเรื่องที่คุย ‘ทำงาน ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์’ ก็เห็นใจ แต่ทำแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาก็ถือว่าไม่มีผลงาน “และหากขยันมาก ๆ แบบพล.อ.ประยุทธ์
ท้ายสุดแล้วอาจจะทำให้ประเทศชาติพังได้เหมือนกัน”
จำได้เมื่อสามปีที่แล้วมีพวกนักปฏิรูปก่อนเลือกตั้งชอบพูดว่า
“ขยันแต่โง่ก็ไม่ได้เรื่อง” สำหรับตอนนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทำงานมากทำงานน้อย
ข้อสงสัยอยู่ที่ทำเพื่ออะไร เพื่อใครกันแน่ เพราะผลที่ปรากฏมันไปอยู่กับพวก
คสช.และลิ่วล้อ
ขณะที่ประชาชนทั่วไปเจอแต่
‘แห้ว’ แล้วยังจะมี ‘ปลิง’ คอยดูดเลือดไม่หยุดหย่อน
ล่าสุด สนช. พวกลิ่วล้อด้านออกกฎหมาย ไอเดียแจ่วไม่แจ๋ว เสนอว่า “ควรเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมอีกร้อยละ ๑
โดยกำหนดให้นำรายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ไปใช้เฉพาะในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขเท่านั้น
คาดว่าจะทำให้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ ๖ หมื่นถึง ๗ หมื่นล้านบาท”
ประเด็นของเรื่องนี้เนื่องเนามาแต่เหตุที่รัฐบาลประยุทธ์เบิกเงินไปใช้กับโครงการต่างๆ
ประคองสถานะสุขภาพของรัฐ เพื่อให้เห็นว่า คสช. ได้บทเรียนจาก คมช.
สามารถอยู่ยงคงกระพันนานกว่า ๑ ปีได้
การเพิ่มงบประมาณทหารหรือโครงการซื้ออาวุธต่างๆ
ก็เป็นส่วนเสริมสร้างสมรรถภาพคณะทหารเสียมากกว่าการป้องกันประเทศ
ในเมื่ออาวุธที่จัดซื้อมาเทียบไม่ได้กับเกณฑ์สงครามระหว่างประเทศ หากเป็นบ่อน้ำเลี้ยงไว้ขุนกำลังพลอาชีพรัฐประหารเท่านั้น
แต่ขณะเดียวกัน
คสช. ไม่มีความสามารถในการหาเงินมาทดแทนรายจ่ายที่เบิกออกไปได้ จึงตกที่นั่งลำบาก
มาบัดนี้พยายามตัดโน่นตัดนี่ ตัดไม่ได้อย่างใจลิ่วล้อก็เลยช่วยคิดให้
เพิ่มแว้ทสิพี่
ได้เป็นกอบเป็นกำดี แต่กรรมที่เกิดกับชาวบ้าน ชั่ง (แม่ง) มัน