วันศุกร์, พฤษภาคม 19, 2560

โอวาทประยุทธ์เป็นการสับขาหลอก กลลวงเสริมสร้างสมรรถภาพคณะทหาร

ไม่รู้ว่าจะมีคนไทยสักเท่าไรชอบใจการพูดในทางสาธารณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่ครองบ้านครองเมืองหลังจากยึดอำนาจมาได้สามปี

เท่าที่เห็นเป็นเรื่องแกว่งปากจนเคยชิน หรือไม่ก็สร้างภาพโดยสันดานเสียมากกว่า เป็นการหลงตัวว่าวิเศษเหนือมนุษย์ของผู้เผด็จการไม่ว่าจะมาในรูปทรงใด

ถ้าวัดจากโพลสองสามแห่งที่มักเสนอว่าคนส่วนมาก (ระหว่าง ๖๐ ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์) มักพอใจการทำงานของหัวหน้ารัฐประหารผู้นี้ ก็อาจเหมาว่าประยุทธ์อยู่ในฐานะที่พูดอะไรคนจะเชื่อมากกว่าด่า

แต่ถ้าคำนึงถึงการนำเสนอผลสำรวจของโพลเหล่านั้นที่มีตัวอย่างสำรวจเพียงพันกว่าคน (และซ้ำซาก) รวมทั้งตั้งคำถามชี้นำแล้วละก็ ไม่น่าที่จะเชื่อถือได้เต็มที่

ยิ่งเมื่อแนวโน้มของผลสรุปโพลเปลี่ยนจากความหวังว่า คสช.จะทำได้ในการแก้ไขเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเริ่มหันหัวลงเหวเมื่อ คสช.ยึดอำนาจได้เกือบปีนั้น มาสู่การพร่ำวิงวอนและภาวนาให้ คสช. สามารถแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้เสียที ครบสามปีแล้วนี่

ประกอบกับหากนำเอาตัวเลขจากสื่อสังคมเข้ามาเทียบพิจารณา จำนวนคนติดตามชมชอบหน้าเฟชบุ๊คของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพิ่งผ่านหลัก ๖ ล้านไปเมื่อเร็วๆ นี้ ก็แสดงว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ถูกใจประยุทธ์และรัฐบาล คสช.ของเขาดังที่โพลอ้าง
แม้ผู้ที่ติดตามกดไล้ค์กดแชร์เพจยิ่งลักษณ์ ที่ส่วนใหญ่ลงภาพและเรื่องการไปศาลมีคนไปให้ดอกไม้ต้อนรับหนาแน่น ไปเยี่ยมเยียน ทำบุญ ร่วมงานนักขัตฤกษ์ตามท้องที่ต่างๆ เพราะความสวยน่ารักของเธอเป็นหลัก

ทว่าคนที่ชื่นชมเหล่านั้นมีความรู้สึกเบื้องลึกหวนหาสภาพชีวิต เศรษฐกิจที่ดีกว่า รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความไม่พอใจในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เป็นจำนวนมากกว่าน้อย

ประยุทธ์ไปพูดให้โอวาทข้าราชการที่สำเร็จโครงการอบรมนักบริหารรุ่นใหม่เมื่อวันก่อน (๑๗ พ.ค.) แนะนำข้าราชการอ่านหนังสือ พูดอย่างไรไม่ให้พังซึ่งย้อนแย้งตัวเองอย่างยิ่งแล้ว ยังมีคำพูดค้างคาประดุจว่าประชาชนไร้เดียงสาระดับเดียวกัน

“ขอให้คนรุ่นใหม่ (เขาเรียกว่า สม้าร์ทไทย) ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างหลักคิดที่ถูกต้อง สร้างการรับรู้ประชาธิปไตยที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การเลือกตั้งใครเข้ามาก็ได้...

รู้สึกเป็นห่วงในประเด็นตรงนี้ ไม่ใช่อยากอยู่สืบทอดอำนาจ แต่กังวลว่าที่ทุกคนทำวันนี้จะล้มเหลว เมื่อเลือกตั้งแล้วได้คนไม่ดีกลับเข้ามา”


คนรุ่นใหม่หรือสม้าร์ทไทยที่ประยุทธ์อ้างเป็นพวกไม่เอารัฐประหารทั้งนั้น จาก จ่านิว ถึงเนติวิทย์ จากพริษฐ์ถึง ไผ่ ดาวดินคนเหล่านี้ที่ คสช. ของประยุทธ์พยายามกีดกั้น และกระทั่งจับยัดคุกไว้ไม่ยอมให้ประกันตัว

โดยเฉพาะไผ่ เรื่องราวของเขาเป็นที่รับรู้ในระดับนานาชาติเมื่อเขาได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นด้านสิทธิมนุษยชน กวางจูเช่นเดียวกับที่อองซาน ซูจีเคยได้รับ
แม้ศาลจังหวัดขอนแก่นดึงดันไม่ยอมปล่อยตัวเขาเดินทางไปรับรางวัลที่กรุงโซล เกาหลีใต้ หากแต่นายวิบูลย์ และนางพริ้ม บุญภัทรรักษา บิดามารดาของไผ่ เป็นผู้เดินทางไปรับมอบรางวัลแทนก็มิได้ทำให้ผลกระทบในการตบหน้ารัฐบาลทหารไทยน้อยลงไป

ในเมื่อข้อความที่ไผ่เขียนจากคุกไปใช้ในการตอบรับรางวัลมันกินใจคนที่ยึดมั่นสิทธิมนุษยชนและรักประชาธิปไตยทั่วโลก

รางวัลนี้มันก็เป็นแค่รางวัล แต่สิทธิเสรีภาพในประเทศมันไม่มีอยู่จริง การต่อสู้ของผมต้องการให้ประชาชนในประเทศมีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง ก็อยากให้มันเป็นของทุกคนไม่ใช่แค่ผม”


โอวาทของประยุทธ์ที่จริงเป็นการสับขาหลอก กลับกลายเป็นกลลวงเมื่อต่อด้วยการ “พูดอ้อมๆ ไทยต้องมีความพร้อมทางทะเล” ที่ว่า

“ไม่ใช่การแก้ตัวแทนใคร แต่ย้ำว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีศักยภาพอย่างมีตัวตน เช่น อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย และกำลังทหารอาจต้องมีมาก”

ชักแม่น้ำทั้งห้า เอาหลักเสมอภาค ประชาธิปไตย ระบบคุณธรรมมาอ้าง แล้ววกเข้าหา ซื้ออาวุธเพราะ คสช. กำหนดงบประมาณปีหน้าสำหรับจับจ่ายค่ายุทโธปกรณ์ที่บางส่วนก็ ห่วยๆถึงกว่า ๒.๒ แสนล้าน

และยังมีงบกลางฯ ที่จับจ่ายใช้คล่องตามอำเภอใจอีกเกือบ ๔ แสนล้านบาท ขณะที่งบประมาณกลาโหมในสมัย คสช. นี้เพิ่มทุกปี จาก ๙ พันล้านบาทในปี ๕๗ เป็น ๑๙๒,๙๔๙ ล้านบาทในปี ๕๘ สู่ ๒๐๗,๗๑๘ ล้านบาท ปี ๕๙ มาถึงปีนี้ ๒๑๑,๖๔๙ ล้าน และ ๒๒๒,๔๓๖ ล้าน ปีหน้า


วิญญูชนที่รู้จักคิดวิจารณ์ย่อมตั้งคำถามว่า ประเทศไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สงคราม การปราบผู้ก่อการร้ายภาคใต้ก็ไม่ใช่สงครามที่ใช้อาวุธหนักอย่างรถถัง เรือดำน้ำ เครื่องบินขับไล่ มันมีนอกมีในอะไรกับการจัดซื้อจัดหา จัดจ้างบ้างไหม
 
Atukkit Sawangsuk ยกเอาบทความของสมหมาย ภาษี เรื่อง เรือดำน้ำกับเครื่องบินขับไล่ F18’ มาเป็นอุทธาหรณ์

“การซื้อการขายจากจีน จากยูเครน หรือแม้กระทั่งจากเกาหลีใต้ ผู้รู้เรื่องในระดับสากล ไม่มีใครเขาเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องนอกในกันเพราะประเทศเหล่านี้ยังไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการซื้อขายที่ถูกต้อง ที่สถาบันใหญ่ๆ เช่น ธนาคารโลก หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เขาวางไว้”


ถ้อยอภิปรายของ บก.ลายจุดสมบัติ บุญงามอนงค์ แถลงผลงาน ๓ ปีแทนประยุทธ์ในรายการ จอมว้อยซ์ของ จอม เพชรประดับ ว่า “ไม่เพียงเป็นการเสียของเท่านั้นแต่ยังนำพาประเทศให้เละเทะลงไปอีก” นั่นละเป็นข้อเท็จจริง

บก. บอกว่าเรื่องที่คุย ทำงาน ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เห็นใจ แต่ทำแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมาก็ถือว่าไม่มีผลงาน “และหากขยันมาก ๆ แบบพล.อ.ประยุทธ์ ท้ายสุดแล้วอาจจะทำให้ประเทศชาติพังได้เหมือนกัน”


จำได้เมื่อสามปีที่แล้วมีพวกนักปฏิรูปก่อนเลือกตั้งชอบพูดว่า “ขยันแต่โง่ก็ไม่ได้เรื่อง” สำหรับตอนนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทำงานมากทำงานน้อย ข้อสงสัยอยู่ที่ทำเพื่ออะไร เพื่อใครกันแน่ เพราะผลที่ปรากฏมันไปอยู่กับพวก คสช.และลิ่วล้อ

ขณะที่ประชาชนทั่วไปเจอแต่ แห้ว แล้วยังจะมี ปลิงคอยดูดเลือดไม่หยุดหย่อน ล่าสุด สนช. พวกลิ่วล้อด้านออกกฎหมาย ไอเดียแจ่วไม่แจ๋ว เสนอว่า “ควรเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิมอีกร้อยละ  

โดยกำหนดให้นำรายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ไปใช้เฉพาะในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขเท่านั้น คาดว่าจะทำให้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ ๖ หมื่นถึง ๗ หมื่นล้านบาท”


ประเด็นของเรื่องนี้เนื่องเนามาแต่เหตุที่รัฐบาลประยุทธ์เบิกเงินไปใช้กับโครงการต่างๆ ประคองสถานะสุขภาพของรัฐ เพื่อให้เห็นว่า คสช. ได้บทเรียนจาก คมช. สามารถอยู่ยงคงกระพันนานกว่า ๑ ปีได้

การเพิ่มงบประมาณทหารหรือโครงการซื้ออาวุธต่างๆ ก็เป็นส่วนเสริมสร้างสมรรถภาพคณะทหารเสียมากกว่าการป้องกันประเทศ ในเมื่ออาวุธที่จัดซื้อมาเทียบไม่ได้กับเกณฑ์สงครามระหว่างประเทศ หากเป็นบ่อน้ำเลี้ยงไว้ขุนกำลังพลอาชีพรัฐประหารเท่านั้น

แต่ขณะเดียวกัน คสช. ไม่มีความสามารถในการหาเงินมาทดแทนรายจ่ายที่เบิกออกไปได้ จึงตกที่นั่งลำบาก มาบัดนี้พยายามตัดโน่นตัดนี่ ตัดไม่ได้อย่างใจลิ่วล้อก็เลยช่วยคิดให้

เพิ่มแว้ทสิพี่ ได้เป็นกอบเป็นกำดี แต่กรรมที่เกิดกับชาวบ้าน ชั่ง (แม่ง) มัน