ภาพจากอินเตอร์เน็ต
[เอาคสช. คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา]
โดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์
(ไทยอีนิวส์ได้รับผ่าน forward mail)
ชุมชนชาวไทยในนครชิคาโก ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มคนไทยที่หนาแน่นเป็นอย่างมาก เพียงรองจาก ชุมชนชาวไทยแถบนครลอสแองเยลีสเท่านั้น และชุมชนพวกนี้มีคนหัวก้าวหน้าที่ห่วงบ้าน เมืองมิใช่น้อย ดังในปีพ.ศ.2535 พวกเขาได้จัดงาน 60 ปีประชาธิปไตยในเมืองไทย และ 60 ปีสวนโมกขพลาราม โดยที่ หน่วยงานแรกเป็นเรื่องของการอภิวัฒน์อันยิ่งใหญ่ในทางโลกของสยาม ส่วนหน่วยงานหลังเป็นการ อภิวัฒน์อันยิ่งใหญ่ในทางธรรมของสยาม
งานดังกล่าวมีคนไทยมาร่วมจากแทบทุกรัฐ รวมทั้งจากคานาดาด้วย จะขาดก็เพียงจากรัฐฮาไวอิ งานที่ว่านี้มีขึ้นในสมัยที่รสช. ยึดครองอํานาจอย่างเป็นเผด็จการในเมืองไทย
ยังเมื่อก่อนหน้านี้สองปีชุมชนที่นครชิคาโกก็รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง โดยมีคนไทยจาก เมืองอื่นๆ ในสหรัฐและจากเมืองไทยด้วย เรียกร้องต้องการให้ Art Institute of Chicago คืนทับหลังจากปราสาท พนมรุ้ง ซึ่งเป็นศิลปโบราณคดีชิ้นสําคัญ สลักเป็นรูปพระนารายณ์อย่างงดงาม
ก็สถาบันศิลปะสําหรับนครชิคาโกแห่งนี้มีชื่อเสียงเกียรติคุณมาก โดยได้แสดงจิตรกรรม ประติมา กรรม ฯลฯ อย่างเป็นที่ยกย่องไปทั่วโลก ทางสถาบันถือว่าเขาได้ทับหลังมา จะด้วยการซื้อ มา หรือมีผู้ บริจาคให้ก็สุดแท้เขาจึงถือสิทธิในการครอบครองศิลปวัตถุชิ้นนี้อย่างถูกต้อง ตาม กฎหมาย หากฝ่าย ไทย ถือว่าศิลปวัตถุดังกล่าวควรอยู่ในประเทศไทย การที่หายไปก็เพราะถูกโจรกรรม โดยใครจะขโมยไปก็สุดแท้ แล้วลักลอบเอาออกนอกประเทศไปขายหรือมอบให้สถาบันศิลปะแห่งนั้น
ทางรัฐบาลส่งคนไปเจรจากับสถาบันศิลปะแห่งนั้น อย่างไร้ผลพวกคนไทยจึงรวมกําลังกัน ประท้วง ในนครชิคาโก นับเป็นจํานวนคนมหาศาล โดยมีชนชาติอื่นๆรวมด้วยเป็นเวลาหลายวัน ในที่ สุดถึงกับตะโกนก้องร้องกันว่า
“เอา ไมเคิลแจกสัน คืนไป เอา พระนารายณ์คืนมา”
โดยที่ไมเคิลแจกสันเป็นดารามีชื่อของสหรัฐในเวลานั้น
และแล้วในที่สุด สถาบันศิลปะแห่งนั้นก็ยอมคืนวัสดุอันมีค่าดังกล่าวให้แก่รัฐบาลไทย เพราะ เขามีความรับผิดชอบทางจริยธรรม
ก็ในเมื่อสถาบันต้องการแสดงความงามให้ปรากฏ แต่ถ้าความงามปราศจากความจริง หรือ ความดีเสียแล้วศิลปะย่อมกลายเป็นอัปลักษณ์ได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ในสายตาของมหาชนทั่วๆไป
บัดนี้ คสช.ยึดอํานาจจากระบอบประชาธิปไตยของไทย โดยเลิกรัฐธรรมนูญ และปกครอง โดยเผด็จการมา 3 ปีเข้านี่แล้วถ้ามวลมหาประชาชนจะเรียกร้องว่า
“เอาคสช.คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา”
จะได้ผลละหรือ อย่างน้อยผู้บริหารสถาบันศิลปะแห่งนครชิคาโกย่อมประกอบไปด้วย คณะ กรรมการซึ่งมีหิริ(ความละอายใจ) และโอตัปปะ (เกรงกลัวต่อการทําผิด แม้จะถูกกฎหมาย แต่ผิดทาง จริยธรรม ก็หาควรไม่) สงสัยว่าผู้ที่กุมบังเหียน คสช.อยู่ในเวลานี้ จะมีเทวธรรมทั้งสองข้อนี้อยู่ละหรือ ถ้าคนปราศจากเทวธรรม คนก็เป็นมาร อันหน้าด้าน ไม่มียางอาย กับความผิดที่ตนและพวกตนก่อกรรม ทําเข็นขึ้น
ข้อที่อ้างว่าประชาชนยังโง่เขลา ไม่สมควรจะปกคองในระบอบประชาธิปไตยนั้น กล่าวกันมา โดยชนชั้นปกครอง แต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นแล้ว และแล้วการอภิวัฒน์ก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แม้ขบวนการประชาธิปไตยที่เริ่มจากวันนั้น จะเผชิญกับขวากหนามนานาประการ รวม ทั้งบางคนในคณะราษฎรที่ร่วมกันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จะกลายเป็นเผด็จการ และบ้านเมือง ถูกต่างชาติคุกคาม ถึงกับครอบครองอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็มีคนที่รักชาติรักประชาธิปไตย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมตัวกันเป็นขบวนการเสรีไทย ฟันฝ่าให้สยามคงเอกราชไว้ได้แม้ภาย หลังมหาสงครามคราวนั้น โดยที่ประเทศเผด็จการอื่นๆ ที่เผด็จการของไทยร่วมเสพสังวาสอยู่ด้วยล้วนเสีย เอกราชอธิปไตยไปตามๆกัน
แต่แล้ว เมื่อคณะทหารที่เคยสมคบกับเผด็จการแต่ตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยึดอํานาจ การปกครองได้จากขบวนการประชาธิปไตยในปี 2490 โดยที่แต่นั้นมา ทหารได้กลายเป็นรัฐภายในรัฐ เกือบตลอดแม้จะมีทีท่าในทางประชาธิปไตยบ้างก็หาสาระในทางประชาธิปไตยมิได้
ขบวนการ 14 ตุลาคม 2516 เกิดขึ้นจากเยาวชนที่รักสาระของประชาธิปไตย คือรักเสรีภาพในการ แสดงออก รักการอภิปรายและข้อคิดความเห็นที่แตกต่างกัน และเคารพคนที่เห็นต่าง เคารพคนกลุ่มน้อย และคนปลายอ้อปลายแขม โดยไม่ยึดถือเสียงข้างมากว่าถูกต้องเสมอไป
จากเยาวชนกลุ่มเล็กๆเหล่านี้ได้ขยายใหญ่ขึ้น จนเกิดการเรียกร้องรัฐรรมนูญ ถึงกับทรราชย์ต้อง ปลาสนาการไปในวันดังกล่าว แต่ทหารก็ยังคงเป็นรัฐภายในรัฐ แม้การปกครองจะมีทีท่าเป็นประชาธิป ไตยอยู่บ้าง แต่ที่ซ้ําร้ายก็คือ นายทุนเข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยตรง คือไม่ต้องอยู่ใต้ฉายาของแม่ทัพ นายกองดังแต่ก่อน
พร้อมกันนั้น พรรคคอมมูนิสต์ก็มีบทบาทในทางการเมือง ทั้งบนดินและใต้ดิน จนเกิดโศกนาฏ กรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นได้เมื่อวันที่6 ตุลาคม 2519
เผด็จการทหารและเสนาอํามาตยาธิปไตยสามารถเสกสรรปั้นแต่งให้นายปรีดีพนมยงค์และคณะ ราษฎรที่มุ่งทางสาระของประชาธิปไตยให้เป็นตัวเลวร้าย เพราะกุศลจรรยาของเขา และคณะ ในการ อภิวัฒน์ 2475 และในขบวนการเสรีไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ครั้นเมื่อถึง 6 ตุลาคม 2519 นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ก็กลายเป็นคนเลวร้ายไปในอีหรอบเดียวกัน ทั้งๆ ที่เราจะหาคนที่อุทิศตน เพื่อสันติ ประชาธรรม และอหิงสธรรม เพื่อความยุติธรรมทางโครงสร้างของสังคม ยิ่งไปกว่าสองคนนี้มีอีกละหรือ
ทหารเป็นรัฐภายในรัฐ โดยร่วมกับศักดินาขัตติยาธิปไตย และสมาทานทุนนิยม บริโภคนิยม อย่างสุดๆ พร้อมๆ กับเชื่อว่าเทคโนโลยี่ล่าสุด จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆให้ได้หมด แต่ก็ไม่ทิ้งไสยเวทวิทยา อย่างเลวร้าย ความคิดคํานึงถึงคนยากไร้ มีแต่ที่ริมฝีปาก ที่จะเรียนรู้จากภูมิธรรมชาวบ้านนั้น หามีไม่ แม้พุทธศาสนาที่เขาอ้างว่าเคารพนับถือ ก็เป็นสัทธรรมปฏิรูปเสียแหละมากกว่าอะไรอื่น หาไม่คณะ พระธรรมกายจะงอกงามได้ถึงเพียงนี้ละหรือ โดยที่สถาบันสงฆ์กระแสหลักส่วนใหญ่ ก็มีแนวโน้ม ไปในทางที่สวนทางกับพระสัทธรรมเสียโดยมากอีกด้วย
สื่อมวลชนกระแสหลักมอมเมาคนด้วยลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยม การศึกษากระแสหลัก ก็สอนให้คนใช้แต่ความคิด ในทางที่เห็นแก่ตัว ยิ่งกว่าที่จะโยงใยจิตใจมาสะกดหัวสมองให้เห็นคุณค่า ของคนอื่น สัตว์อื่น และธรรมชาติที่แวดล้อมเราทั้งหมด ซึ่งต้องเป็นไปด้วยกันในทางอิทัปปัจจยตา
เมื่ออภิมหาอํานาจอย่างสหรัฐลดบทบาทลง อภิมหาอํานาจอย่างจีน ก็ย่อมเข้ามาแทนที่อย่างเลว ร้ายกว่า โดยที่บรรษัทข้ามชาติก็เข้ามาก้าวก่ายกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั้งในระดับชาติ จนระดับ ท้องถิ่น โดยยากที่ใครจะเห็นโทษของ 7-11 หรือโค้ก ซีพีและอาหารแดกด่วน รวมทั้งถุงพลาสติกและโฟม ตลอดจนสารพิษทั้งหลายที่ใช้ควบคู่ไปกับผักผลไม้และมัจฉามังสาหารต่างๆ
เมื่อ 25 ปีก่อน มีการเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา แม้เพียงในรูปแบบ ราษฎรก็ถูกสังหาร เสีย มิใช่น้อย กว่าจะตกลงกันได้โดยได้รับการพระราชทานนายกรัฐมนตรีแม้จนบัดนี้แล้ว มีกี่คนที่แลเห็น ว่านั่นเป็นการฉ้อฉลทางสาระของประชาธิปไตย
นิมิตดีก็ตรงที่มีนิสิตนักศึกษาบางคนที่แหวกว่ายออกจากวงเวียนของการศึกษาแบบกะลาครอบอ อกมาได้บ้างดังที่เรามีกลุ่มปริทัศน์เสวนาและศึกษิตเสวนา ซึ่งนําไปสู่เหตุการณ์14 ตุลาคม 2516
นิสิตนักศึกษาหัวก้าวหน้าร่วมสมัยในบัดนี้ จะมีใครเรียนรู้ถึงจุดเด่นและจุดด้อยของกลุ่มปริทัศน์ เสวนา และศึกษิตเสวนา และสภากาแฟต่างๆตามมหาวิทยาลัย อีกหลายต่อหลายแห่ง รวมถึงสภาหน้าโดม ด้วยบ้างหรือไม่ พวกเขาจะรวมตัวกันศึกษาหาความรู้จนอาจไปพ้นคนรุ่นพี่และรุ่นก่อนเขาได้ไหม ถ้าคน พวกนี้พร้อม เขาคงร้องตะโกนเรียกได้ว่า
“เอาคสช.คืนไป เอาประชาธิปไตยคืนมา”
ถึงอย่างไร คสช.ก็ต้องมีอันเป็นไป ดัง รสช.พังทลายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ประชาธิปไตย จะคืน มาได้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ถ้าเช่นนั้น มันก็จะอีหรอบเดิม ดังพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ดีไปกว่า คณะพรรคของทักษิณ ชินวัตรเท่าไรนัก พวกประชาธิปัตย์อาจเลวร้ายน้อยกว่า แต่ขาดความฉลาดเฉลียว ที่แท้ในขณะทักษิณและพลพรรคของเขาฉลาดแกมโกงยิ่งกว่าเป็นไหนๆ เราต้องการประชาธิปไตย แบบนี้ ละหรือ
ถ้าเราต้องการประชาธิปไตยที่สาระ ประการแรก ต้องเริ่มจากการใช้ความคิดและมีสติวิจารณญาน ประกอบกับคําพูดที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และพร้อมที่จะรับฟังความคิดที่ต่างจากเราด้วย ความ เคารพ แม้เขาจะด่าว่าร้ายเรา ก็ขอให้ถือว่าในสภาพเช่นนี้ ให้เขาด่าเราเท่ากับเขาได้ระบาย เขาจะไปด่าคน ที่มีอํานาจมากกว่าเรา เขาย่อมต้องคดีอาญาตามมาตรา 112 ได้ง่ายๆ
จากความคิดและคําพูดที่เป็นสาระ และพร้อมทั้งการเคารพทัศนะที่ต่างออกไป เราต้องพร้อมเพื่อ แสดงคําพูดของเราเองจากหัวใจ เราต้องเรียนรู้จากคนเล็กคนน้อย คนปลายอ้อปลายแขม และคนที่ถูกกดขี่ โดยโครงสร้างอันอยุติธรรมและรุนแรง คนพวกนี้ รวมถึงเพื่อนมุสลิมมลายูทางภาคใต้ เพื่อนอีสานเป็น จํานวนไม่น้อยรวมถึงชนเผ่าในทิศทางต่างๆ แม้ผู้คนในสลัมรอบๆตัวเรานี่เอง
มหาตมะ คานธียิ่งใหญ่ขึ้นมาในอินเดีย เพราะท่านไปเรียนรู้จากคนเล็กคนน้อย และดํารงชีพอย่าง คนเล็ก คนน้อย ข้อเสียของท่านคือท่านเป็นเอกบุรุษมากเกินไป และสมยอมกับระบอบวรรณะซึ่งกดขี่ชน ชั้นล่างอย่างรุนแรงและมากเกินไป
ถ้าคนรุ่นใหม่ของเราเรียนจากคานธี ต้องเรียนจุดเด่นและจุดด้อยของท่าน พร้อมกันนั้นก็ควร เรียนจากอัมเบดก้า ซึ่งสมาทานพุทธศาสนา ที่สาระและนํามาประยุกต์เพื่อความยุติธรรมทางสังคม
ที่ว่ามานี้ เพียงยกตัวอย่างสองคนนอกเมืองไทย โดยเราควรมองไปที่เมืองแขกมากกว่าเมืองฝรั่ง สําหรับในเมืองไทย เราต้องเรียนรู้ถึงความสําเร็จและความล้มเหลวของนายปรีดี พนมยงค์และนายป๋วย อึ๊งภากรณ์รวมถึงม.จ.สิทธิพรกฤดากรด้วย
ยังคนที่ใกล้ตัวเราและเพิ่งจากเราไปอย่างวนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ก็เป็นแบบอย่างให้เราเรียนรู้ได้ แม้เธอจะตายจากไปแล้ว ก็ยังหาความรู้จากคนใกล้ๆตัวเธอ และผลงานของเธอ โดยที่จากจุดนี้เราจะเข้าถึง ความสําเร็จและความบกพร่องของสมัชชาคนจน
สมัชชาคนจนเป็นเสาหลักที่สําคัญยิ่งของเรา เพราะคนจนนั้นเป็นรากฐานของสังคมเรา ซึ่งยังคง แนบแน่นอยู่กับภูมิธรรมดั้งเดิมของเรา ทั้งทางความงาม ความดีและความจริง แม้นอกกสมัชชาคนจน ออกไป คนขั้นรากหญ้าเหล่านี้ยังมีอีกไม่น้อยที่ต่อสู้เพื่อชุมชนของเขา เพื่อธรรมชาติที่แวดล้อมพวกเขา ตลอดจนปฏิเสธการครอบงําพวกเขา โดยชนชั้นปกครอง คนพวกนี้ไม่ยอมถูกล้างสมอง โดยการศึกษา ของรัฐ หรือสื่อมวลชนที่รับใช้ทุนนิยมและบริโภคนิยม
ถ้าคนรุ่นใหม่เริ่มเข้าใจสาระของคนที่เป็นรากหญ้าของเรา เรียนรู้จากเขา เคารพเขา แล้วเขาก็ต้อง การเรียนรู้จากเราและเคารพนับถือเรา เมื่อนั้นกัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นระหว่างคนขั้นพื้นฐาน กับพวกเรา ซึ่ง เป็นชนชั้นกลาง ซึ่งส่วนมากลืมกําพืดของเราไปแล้ว และจากจุดนี้ที่กัลยาณมิตรจักเกิดขึ้นอย่างแท้จริง นั่น แล สาระของประชาธิปไตยย่อมจะบังเกิดขึ้นได้จริง สิ่งซึ่งเรียกว่าความเสมอภาค ภราดรภาพ และเสรีภาพ จะเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นวาทกรรมอย่างที่เรียกร้องกัน เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส
เราต้องการการอภิวัฒน์ในสยามอีกครั้ง จากบทเรียนที่ล้มเหลวมาเมื่อพ.ศ.2490 จนถึงกับมีขบวน การ ที่ทําลายความทรงจําถึงคณะราษฎรทั้งหมด แม้หมุดที่จารึกคําประกาศของคณะราษฎร ซึ่งมีข้อความ ว่า “ ณ ที่นี้๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ํารุ่งคณะราษฎรได้ก่อกําเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” ก็ยังปลาสนาการไปได้หากโดยที่นั่นคือการทําให้ผู้คนลืมจุดกําเนิดของประชาธิปไตยในเมืองไทย แต่สาระ ของประชาธิปไตย ไม่มีใครสามารถทําให้จางหาย หรือลบเลือนไปได้แม้พวกเขาจะใช้ละครน้ําเน่า และ ภาพยนตร์ ซึ่งมอมเมาถึงความยิ่งใหญ่ของวีรบุรุษปลอมในอดีต แต่นั่นก็เป็นของปลอม ซึ่งย่อมไม่คงทน ถาวร โดยที่สัจภาวะย่อมคงทนถาวรตลอดไป และแล้วความเท็จก็จะสลายไป หากความจริงย่อมธํารงทรง ไว้ชั่วกัลปาวสานต์
ส.ศ.ษ.
22 พ.ค.60
ครบสามปีของวันที่
คสช.ยึดอํานาจด้วยการทําลายล้างสาระของประชาธิปไตยและเบียดเบียนบีฑาราษฎรไทยยิ่งๆ ขึ้นทุกที