ถ้าจะฟันธงตอนนี้เลยว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฏฯ
หนีไม่พ้น ๑ ใน ๕ อย่าง ดังที่ ประวิทย์ โรจนพฤกษ์ เปิดประเด็นไว้ละก็ มีทางเป็นได้มากกว่าหนึ่ง
ก่อนอื่น มาว่าถึงเหตุระเบิด ‘แจกัน’
ที่เกิดในบริเวณจ่ายยาหน้าห้องรับรองวีไอพี ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุลวงษ์สุวรรณ
อันทำให้ถูกนำไปตีความกันต่างๆ นานา
ข้อสำคัญหลังจากในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พยายามจะเดาเอาว่าเป็น
“เสียงคล้ายระเบิด” ของท่อแอร์แตก รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ก็ยังจำยอมรับว่าพบเศษถ่านไฟฉายและสายไฟ
ในบริเวณระเบิด
อันทำให้พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เผยว่าเป็นระเบิด
‘ไป๊ป์บอมบ์’ ในลักษณะเดียวกับสองครั้งก่อนหน้าเมื่อเร็วๆ
นี้ นั่นคือที่หน้ากองสลากเก่าเมื่อ ๕ เมษายน กับที่หน้าโรงละครแห่งชาติเมื่อ ๑๘
พฤษภาคม
โดยเน้นว่าครั้งนี้ “หวังผลถึงชีวิต เนื่องจากใส่ตะปูจำนวนมาก เป็นสิ่งเลวร้าย แม้แต่ช่วงสงครามระหว่างการรบ ยังไม่มีใครทิ้งระเบิดลงไปในโรงพยาบาล”
นั่นสิ แต่ ผบ.ตร.คงไม่รวมถึงความเลวร้ายของการยิงสไนเปอร์เข้าไปในเขตอภัยทาน
ซึ่งครบรอบ ๗ ปี ไปก่อนหน้าครบรอบ ๓ ปี รัฐประหาร คสช. เมื่อสองสามวันนี้เอง
แต่จนบัดนี้ความจริงยังไม่ยอมให้เปิด ผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยา
อ๊ะ ช้าก่อน
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่านั่นเป็นการสะใจหรือสมน้ำหน้า
เพราะการคร่าชีวิตทุกชีวิตไม่ว่าด้วยเหตุใด แม้แต่การวิสามัญพวกอาชญากรยาเสพติดแบบประธานาธิบดีฟิลิปปีนส์และอดีตนายกฯ
ทักษิณ ย่อมเลวร้ายเช่นกัน
ฉะนั้น การเข้าถึงความจริงอย่างไม่มีอมพะนำ ไม่ต้องบิดพริ้ว
หรือแค่ผิวเผิน กั๊กเอาไว้ในส่วนที่จะเข้าเนื้อตนเองนั่นละ จะทำให้รัฐบาล คสช.
ไม่หน้าชาจากการตบของระเบิด ๓ ครั้งในระยะเวลาไล่เรี่ยกันกลางกรุงนี้
ข้อสันนิษฐานของประวิทย์ ประกอบด้วย
“๑) แดงหัวรุนแรงจัดให้เพื่อให้คสช.อยู่ยาก
๒) คสช.จัดเองเพื่อให้ทหารอยู่ยาว ๓) ทหารแบ่งเค้กไม่ลงตัว
๔) กลุ่มปาตานีขยายแนวรบ ๕) สายมหาอำนาจต่างชาติวางยาให้ไทยอ่อนแอ”
ซึ่ง อธึกกิต
แสวงสุข นำไปขยายผลไว้น่าฟัง โดยเขาเกริ่นแต่ต้นเลยว่า “ข้อ ๕ ไม่น่าเป็นไปได้สักเท่าไหร่”
ข้อ ๑ นั่นยอดนิยมเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับพวก ‘เกลียดทักกี้
เกลียดเสื้อแดง’ แต่อธึกกิตแย้งว่า “ถ้าว่ากันตามจริง แดงหัวรุนแรงไม่มีเหลือแล้วนะครับ
ใครที่มีประวัติมีโอกาสก่อเหตุ จำพวกทหารแตงโมตำรวจมะเขือเทศ
ถ้าไม่หนีออกต่างประเทศ ทหารก็ประกบหมด เรื่องที่จะมีหน่วยลับซุ่มซ่อนอำพรางเป็นไปได้ยาก”
เขาคงเชื่ออย่างนั้นโดยไม่ให้ราคาคำประกาศของกลุ่ม
‘โกตี๋’ ที่ปิดท้ายรายการสดเมื่อต้นเดือนนี้ว่า จะกลับมาดังพร้อมกันทั้งแผ่นดินในเดือนตุลาคม
สำหรับ ‘ทักษิณ’ อธึกกิตถามว่า
“ทำเพื่อไรหว่า ในสถานการณ์ ‘ขาลง’
แบบนี้ ทักกี้ย่อมรู้ว่าอยู่เฉยๆ ดีกว่า รอเวลาให้ คสช.ย่ำแย่ โดนชาวบ้านด่า โดน
ปชป.ด่า หรือชนชั้นนำขัดแย้งกันเอง จนลงจากหลังเสือไม่ได้”
ข้อนี้ก็น่าจะรับฟังได้
เพราะท่าทีของทักษิณและเครือข่ายใกล้ชิดของเขาในระยะหลังๆ แสดงออกว่าขอถอดใจ
แม้กระทั่งสื่อในเครือข่ายของเขา ‘ว้อยซ์ทีวี’
ทำการเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยการยุติเสนอคอนเท้นต์การเมือง
แน่ละ
คนรักทักษิณพันธุ์แท้ย่อมค้านว่าเป็นการ ‘เดินหน้า’
ต่อไปอย่างสุขุมคัมภีรภาพ ดีกว่าถูกหักดิบหยุดกึกพังครืน
เช่นเดียวกับเครือข่ายนักปฏิรูปต้านทักษิณยังปักใจกันว่ามีลับลวงพราง
คนหนึ่งหลิ่วตาอีกคนขยิบตา
ข้อที่ว่า คสช. ทำเองจะได้อยู่ยาว ซึ่งอธึกกิตคิดว่า “ไม่ค่อยมีเหตุผล”
ในเมื่อ “การวางระเบิด
รพ.พระมงกุฎ (เท่ากับหักหน้ากองทัพ) มีผลเสียมากกว่าผลดี
วิธีสร้างสถานการณ์แบบอื่นมีตั้งเยอะ ที่ผ่านมาก็อยู่ต่อสบายๆ” อยู่แล้ว
ก็ใช่
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่พวกนั่งร้านจัดให้ล่ะ เพราะดูอย่างไฟไหม้สหกรณ์สุราษฎร์นั่นปะไร
เสียงซุบซิบในพื้นที่บอกว่าพระเพลิงมาโปรดสัตว์ สหกรณ์กำลังเจ๊งอยู่พอดี
ไหม้ครั้งนั้นได้ประกันชดใช้คุ้มค่าเสียหาย
นั่นละ ถ้า คสช.
ต้องอยู่ยาว
มันก็เข้าทางพวกที่ออกมาเรียกร้องให้ลุงตู่อยู่ต่ออีกสี่ซ้าห้าปีพอดีไง
รูปการณ์มันชวนให้คิดไปได้นะ
ข้อสาม “ทหารแบ่งเค้กไม่ลงตัว
หรือมีความขัดแย้งในชนชั้นนำ”
นี่เป็นการบังเอิญมากกว่าที่แจกันเจ้ากรรมไปติดอยู่ตรงหน้าห้องวงษ์สุวรรณ ในเมื่อ “ห้องรับรองนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการ”
แบบนี้มีห้องติณสูลานนท์ ห้องยงใจยุทธ์ อยู่ไม่ห่างไกลกัน
อธึกกิตว่า
“ยิ่งถ้านำไปรวมกับระเบิดกองสลาก
ที่โรงละครแห่งชาติ (ซึ่งจับใครไม่ได้) ก็ทำให้คนคิดมาก” จึงต้องรอดูต่อไปว่าตำรวจของ
คสช. จะแก้ปมได้เร็วไหม หรือไม่เลย
มาถึงข้อสี่ ที่อธึกกิตชี้ว่า “ถ้ามาจากภาคใต้จริง น่ากลัวมาก เพราะต้องนับรวมระเบิดภาคใต้
๗ จังหวัดเมื่อเดือนสิงหา ระเบิดไฟฟ้าดับ ๑๑ จุด และระเบิดบิ๊กซี
มันแสดงทิศทางของขบวนการใน ๓ จังหวัดว่าจะก่อเหตุแรงขึ้น”
ทั้งที่เขาบอกว่า “อย่างนี้ก็ยังไม่ได้ฟันธง”
แต่คำถามที่ว่า “หรือเพื่อตอบโต้
การที่รัฐประหาร ๓ ปีหนทางเจรจายิ่งตีบตัน” ทำให้ต้องหันไปดูข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งในกระบวนการสันติสุขภาคใต้ของ
คสช.
ที่ซึ่งยังมีกลุ่ม
‘extremely active’ ที่แข็งแรงมากกลุ่มหนึ่งไม่ได้ร่วมกระบวนการด้วย
คือกลุ่มบีอาร์เอ็นที่เรียกร้องให้องค์การมุสลิมสากลจากภายนอกพื้นที่มีตัวแทนเข้าร่วมเจรจา
การเพิ่มแรงกดดันโดยขยายปฏิบัติการเข้าสู่กรุงเทพฯ
มีมูลน่าจะฟังขึ้นว่าการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแกนนำในรัฐบาล ไปสู่ชุดที่ยอมรับข้อเรียกร้องของฝ่ายขบวนการมากขึ้น
เป็นเป้าหมาย
จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาล
คสช. จะสามารถแจ้งผลการล่าตัวผู้วางระเบิดให้สาธารณชนทั้งในและนอกประเทศเชื่อถือได้ในเวลารวดเร็ว
และสามารถป้องกันเหตุร้ายทำนองเดียวมิให้เกิดขึ้นอีก
จนกระทั่งถึงเดือนตุลาคมเป็นอย่างน้อย
นั่นละคงทำให้ความหวัง
‘อยู่ยาว อิ่มหมีพีมัน
และยั่งยืน’ ที่ กปปส. ออกมาทำตัวเป็นนั่งร้านให้ คสช.
อีกครั้ง พอมีหวัง