ผ่านไปชนิดเฉียดๆ พายุฝน ‘โมร่า’ ที่อาจจัดประเภทได้หลายอย่างตามแรงโหมกระแทก ตั้งแต่ไซโคลน มรสุม และดีเพรสชั่น
แต่ประเทศไทยก็ไม่พ้นฝนตกหนักช่วงปลายพฤษภา และจะตกอีกต่อไปจนถึงปลายอาทิตย์นี้
(๕ มิถุนา)
ผลก็คือหนีไม่พ้นเกิดน้ำบ่า น้ำท่วมฉับพลัน
และน้ำรอระบายหลายวัน ตามท้องถนนผิวจราจรและภายในบ้านเรือนร้านรวง
ถ้วนทั่วทั้งหัวเมืองและในกรุง รวม ๓๘ จังหวัด
มันบ่งบอกสัจจธรรมแห่งชีวิตไทยๆ ภายใต้ คสช.
ไหนจะหากินฝืดเคือง แล้วยังเผชิญกับผลกระทบที่ควรจะป้องกันและแก้ไขได้เฉียบไว ของภัยธรรมชาติซ้ำซาก
ชาวบ้านต้องหาทางออกกับความอึดอัดขัดสน ด้วยการพยายามสร้างอารมณ์ขันกับการ
‘อยู่เป็น’ หรือไม่ก็ ‘ทนอยู่’ ในเมื่อถึงอย่างไรรัฐบาลทหารที่อวดเก่ง อวดดีนักหนา ก็ ‘เอาไม่อยู่’ เหมือนกัน
(ภาพเหตุการณ์เด็กๆ เล่นน้ำที่ไหลบ่าลงมาตามบันไดขึ้นภูเขาทองวัดสระเกศ
หรือตำรวจจราจรจับปลาตัวเขื่องได้ตรงกลางถนนวิภาวดี เป็นตัวอย่าง)
หนักเข้าไปใหญ่ ในเมื่อสถานะการคลังของชาติทำท่าจะดิ่งลงเหว
หลังจากที่ปรากกหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอุ้งมือของ
คสช.
ล่าสุดมีตัวเลขจากการเปิดเผยของสำนักงานบริหารหนี้ หรือ
สบน. ชี้ชัดว่าเมื่อสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ปริมาณหนี้สาธารณะของประเทศมีจำนวนถึง ๔๒.๖๔ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี คือทั้งสิ้นกว่า
๖ ล้านล้านบาท
“แบ่งออกเป็น
หนี้ในประเทศ ๕,๙๔๘,๔๗๗.๗๕
ล้านบาท หรือ ๙๔.๙๐% และหนี้ต่างประเทศ ๓๑๙,๔๔๓.๑๓
ล้านบาท (ประมาณ
๙,๓๒๔.๗๑ ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือ ๕.๑๐% ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด”
ด้านความมั่นคง
ทั้งที่มีการผลักดันโพลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า แจ้งว่าประชาชนพอใจการใช้อำนาจอย่างเกือบจะเบ็ดเสร็จของรัฐบาลทหาร
แต่ก็มีเหตุก่อการร้ายไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงในพื้นที่สามสี่จังหวัดติดชายแดนภาคใต้
แต่มันขยายขึ้นมาถึง ๗ จังหวัด และสูงถึงกะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ซ้ำในปีนี้ขยับเข้าไปในกรุงเทพฯ แล้วถึงสามครั้ง
ไล่เรี่ยกันในระยะเวลาสองสามเดือน คือที่แยกคอกวัว หน้าโรงละครแห่งชาติ
และที่โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ หลังจากที่มีประปรายในปี ๕๗-๕๘ อาทิ ที่มินบุรี ปทุมวัน
และราชประสงค์
ทั้งที่ คสช. พยายามปฏิเสธว่าการวางระเบิดไป๊ป์บอมบ์ที่
รพ.พระมงกุฏเกล้า ไม่ใช่เป็นปัญหาภายในสายการคุมอำนาจของ คสช. หรือเป็นการ ‘จัดฉาก’
ให้สอดคล้องกับที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหน้า กปปส. ออกมาเรียกร้องให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก
หลังเลือกตั้งที่คาดว่าอาจจะมีขึ้นได้ในราวกลางปี ๒๕๖๑
มิหนำยังไม่ทันไร
ปรากฏมีผู้พบเห็นไป๊ป์บอมบ์ซ่อนอยู่ในพงไม้หลังศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน
“เป็นท่อเหล็กรูปทรงกระบอกสีดำมีฝาเกลียวปิดขนาดความกว้าง
๗.๖ เซนติเมตร ความยาว ๒๐.๓ เซนติเมตร
ภายในบรรจุด้วยวัตถุระเบิดแรงต่ำประเภทดินดำหรือดินเทาน้ำหนัก
๒๒๐ กรัม"
ทีมสืบสวนแจ้งว่ามีเศษเหล็กตัด น็อตเกลียวและตะปูใส่กล่องวางอยู่ข้างๆ
พร้อมที่จะบรรจุและต่อเชื่อมกลไกแสวงเครื่องจุดระเบิด สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้ถือครองนำมาทิ้งไว้
เพราะเกรงกลัวว่าถ้ายังเก็บกับตัวเจ้าหน้าที่จะไปตรวจพบ
เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสืบสอบคนวางระเบิด รพ.พระมงกุฏฯ ทั้งที่หลายวันแล้วยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้
ไม่ว่าจะเป็นกี่ครั้งกี่หน ทางการไม่เคยคลี่คลายคดีเปิดเผยตัวคนร้ายได้สักครั้ง
อย่างดีก็มีระดับผู้บัญชาการตำรวจแถลงข่าวว่ารู้ตัวบุคคลที่ก่อการ
แต่ก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวว่าเป็นใครกันแน่
จนฝ่ายต่อต้าน คสช. ชักจะปักใจมองเห็นเป็นเลศนัยว่ามีการปกปิด
เพื่อไม่ให้สาวไปถึงความเป็นไปได้ของการสร้างสถานการณ์ให้ คสช. ไม่ออกไปก็อยู่ยาว
อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือทั้งสองทางรวมกันตามสูตรขนมจีนน้ำพริกผสมน้ำยาแบบสุราษฎร์
นั่นคือเร่งมือการเลือกตั้งให้พรรคพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล อันมีประยุทธ์เป็นนายกฯ
คนนอก ดังที่รัฐธรรมนูญปี ๖๐ ฉบับมีชัยออกแบบไว้
จึงได้เห็นอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มแกนนำ กปปส. ๘ คนที่ลาออกไปเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ
จนร้อนระอุสุกงอมเปิดช่องคณะทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อกลางปี ๕๗
คนเหล่านี้พากันเลียกลับน้ำลายที่บ้วนไว้ ยกขบวนหวนคืนสู่พรรค
เตรียมตัวลงเลือกตั้งกันแล้ว