‘เสียของ’ หรือ ‘ไม่เสียของ’
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครพูดเท่านั้น มันขึ้นกับว่าใครเป็นคนฟังด้วย
เฉพาะเรื่องผลงานสามปีที่ประยุทธ์ขอเลื่อนไปแถลงตอนตุลา
อ้างว่ารำคาญตอนนี้ยี้กันมาก แท้จริงรอตัวเลขงามๆ ทำเสร็จแล้วเอามาคุยมากกว่า
ตอนนี้ดูท่าจะดี สำหรับสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าวัดด้วยความสุขประชาชนตามโพลนิด้า
พบว่า ๔๒ % รู้สึกเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเดิมนั่นสุขมากน้อยแค่ไหน
แต่ถ้าเอาตรรกะของการทำรัฐประหารมาเป็นเครื่องชี้แนะ
ของเดิมก็น่าจะไม่ดีเพราะ คสช.ยึดอำนาจเพื่อทำให้บ้านเมืองดีขึ้นใช่ไหมล่ะ
คะแนนรองลงมาเกือบ ๓๓ % ที่บอกว่าตอนนี้ดี๊ดี
เพราะไม่มีการชุมนุมวุ่นวายทางการเมือง บ้านเมืองสงบเรียบร้อย
ส่วนที่มีสื่อต่างประเทศก่นด่ากันระงมว่าทหารละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง
คนสำคัญของบ้านเมืองไปทำเซี้ยวๆ ในต่างแดนบ้าง เมินเสียได้
ในเมืองไทยไม่ค่อยมีใครเห็น (ข่าว)
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่นิด้าค้นพบจากโพลอยู่ที่
ไม่ว่าจะสุขเท่าเดิมหรือมากขึ้น อย่าเอาไปเปรียบกับปีที่แล้วนะ
ไม่งั้นจะเห็นว่าแย่ลง
ดังนั้นที่ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช.
พูดไว้เมื่อสามสี่วันก่อนว่า “ไม่มีอะไรเสียของแน่นอน”
หรือที่ ผบ.ทบ.พูดเมื่อวานซืน (๑๙ พ.ค.) บอกว่า
“ปัญหาเศรษฐกิจที่มองว่ายังไม่ดีขึ้นนั้น...ได้พบผบ.ทบ.มาเลเซียเขาก็บอกว่าเศรษฐกิจเขาแย่กว่าเราอีก”
บิ๊กเจี๊ยบเลยโดนสื่อผู้ชำนาญข่าวต่างประเทศคนหนึ่งเถียงให้ว่า “ทั้ง ๆ ที่ ข้อมูล World Bank และที่ต่าง ๆ ชี้ว่าศก.ไทยเติบโตต่ำเตี้ยประมาณ ๒-๓%
มาตั้งหลายปี ‘แย่กว่า’
ทุกประเทศในอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทาง ศก.เร็วสุดแห่งหนึ่งของโลก
(ยกเว้นไทย)”
พิภพ
อุดมอิทธิพงศ์ ชี้ว่ารายชื่อประเทศที่เติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วของเอเซียตะวันออก ตามรายงานในฟอร์บ
“ไม่มีไทยนะครัช เสียใจด้วย”
ถึงอย่างนั้น ถ้าไปอ่านรายงานของบีบีซีไทย
เรื่องสามปีเศรษฐกิจไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลประยุทธ์ ก็จะพบคำชมเต็มพรืด
มีการยกเอาตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคมาเทียบเคียงกันสี่แห่ง
(ยกเว้นเวียตนามที่เติบโตเร็วที่สุด) จะเห็นไทยตกฮวบเมื่อปี ๕๗ ตีตื้นในปีต่อมา
ขยับขึ้นมานิดในปีนี้ และคาดหวัง หรือ ‘ประมาณการ’
ว่าปีหน้าจะดีขึ้นไปกว่านี้อีก จีดีพีจะอยู่ที่ ๓.๕ ถึง ๔
แต่อย่าไปดูตัวเลขจีดีพีของไทยเมื่อปี
๒๕๕๕ ล่ะ ตอนนั้นมันสูงปรี๊ด ๗.๒
อย่างไรก็ตาม ต้องไปฟังนายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย “ให้
๘ คะแนนจากคะแนนเต็ม ๑๐ สำหรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล”
แม้นว่านายคังจะมีคำวิจารณ์ติดปลายนวมเล็กน้อย ให้ปรับปรุงกระบวนการอนุญาตการลงทุน
ช่วยร่นเวลาให้สั้นและเสริมประสิทธิภาพหน่วยงานรับผิดชอบหน่อย
พวกนักลงทุนต่างชาติจะได้ไม่ต้องคิดมากถ้าอยากจะมาไทย
บีบีซีระบุในรายงานพิเศษชิ้นนี้ด้วยว่า “ภาคเอกชนดูเหมือนจะพอใจกับสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการไว้
ซึ่งนายคังอธิบายว่า รัฐบาลชุดนี้มีการวางแนวนโยบายสำหรับอนาคตทั้งระยะสั้นห้าปี
ระยะกลางสิบปี และระยะยาว ๒๐ ปี ซึ่งแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนๆ
ซึ่งมีการวางแผนระยะสั้นๆ”
ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทยกล่าวกับบีบีซีไทยอีกว่า
“การวางวิสัยทัศน์ของรัฐบาลชุดปัจจุบันถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ
การลงมือทำให้เป็นจริง (Implementation)” อ้าว
ถ้าเราสังเกตุจะเห็นว่า
คสช. ผ่านทาง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ใช้นโยบายคล้ายคลึงกับรัฐบาลก่อน
อาทิ “ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดกลาง หรือเอสเอ็มอี การพัฒนาทักษะแรงงาน
การลงทุนจากภาครัฐ” ล้วนแต่เป็นทฤษฎีบริหารเศรษฐกิจมหภาคตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน
ด้านการท่องเที่ยวซึ่งจัดเป็นอุตสาหกรรมเอกในเศรษฐกิจไทยที่เป็นความหวังโดดๆ
ของ คสช. ขณะนี้ นายอิทธิฤทธิ์
กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.)
ที่บอกกับบีบีซีไทยว่า “เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องตามที่เอกชนต้องการ”
ขนาดคาดหมายว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ
๑๗ ของจีดีพีในปีที่ผ่านมา เป็นเติบโตมากกว่าร้อยละ ๒๐ ของจีดีพีในปีนี้
ซึ่งนั่นก็เป็นการคาดหวังที่ขึ้นอยู่กับ “การลงมือทำให้เป็นจริง”
ไม่ใช่มโน