วันจันทร์, พฤษภาคม 29, 2560

ถามกลับ "แล้วประยุทธ์เป็นอะไร ทำไมถึงตอบโต้ไม่ได้"

ประยุทธ์ยอมรับตั้งสี่คำถามเพื่อสกัด อัดนักการเมืองถ้าจะลงเลือกตั้งครั้งหน้า “เพราะขณะนี้ยังมีกลุ่มการเมืองเดินสายเคลื่อนไหวอยู่ในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และดิสเครดิตรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวด้วยว่า ขอตั้งคำถามกลับไปยังนักการเมืองที่ออกมาโจมตีการตั้งคำถามของตนว่า เป็นใคร ทำไมถึงแตะต้องไม่ได้


พูดอย่างนี้นักการเมืองก็น่าจะถามกลับอีกว่า แล้วประยุทธ์เป็นอะไร ทำไมถึงตอบโต้ไม่ได้ 

แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงประยุทธ์คือผู้เผด็จการ อีแอบ ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง แต่กลับแอบอ้างว่ามาปูทางประชาธิปไตยให้ประชาชน แล้วไยไม่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง

คำถามทั้งสี่ของประยุทธ์เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ โดยมีวาระซ่อนเร้น ให้ร้ายบิดเบือนว่านักการเมือง “ให้ความหวังแบบที่เคยทำก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น โจมตีรัฐบาล สัญญากับประชาชนว่าจะให้สิ่งนั้นให้สิ่งนี้”


ทั้งที่ในสิ่งอันควรแห่งวิถีประชาธิปไตย กลุ่มคนที่ต้องการนำแนวทางแบบของตนไปใช้บริหารประเทศ จักต้องเสนอตัว เสนอนโยบาย โฆษณาแนะนำตัว และออกพบผู้มีสิทธิออกเสียง เพื่อให้เป็นที่คุ้นเคยและประชาชนเกิดความไว้วางใจ

นั่นจึงเรียกว่า หาเสียง มิใช่หรือ

การตั้งคำถามของประยุทธ์เป็นเพียงสร้างภาพหลอนให้ประชาชนหวาดระแวง เมื่อปรากฏว่าฝ่ายการเมืองที่เคยยอมรับการชุบมือเปิบของทหาร เริ่มจะปล่อยวางการเบาะแว้งกับฝ่ายเห็นต่าง เมื่อเห็นชัดว่า คสช. นั่นเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้ตนเองครองอำนาจยาวนาน

แม้ว่าโพล ม.กรุงเทพฯ จะยังยกบั้นท้ายประยุทธ์ด้วยคะแนนนิยม ๕๒.๘ เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนเป็นนายกฯ ต่อไป หากแต่ว่าจำนวนไล่เรี่ยกัน ๕๐.๖ เปอร์เซ็นต์อยากให้มีเลือกตั้งโดยเร็ว

อีกทั้งยังแสดงว่าพรรคเพื่อไทยฝ่ายตรงข้าม คสช. ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเป็น ๑๗.๘ เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็นนั่งร้านให้ทหารยึดอำนาจ คะแนนลดลงไปเป็น ๑๕.๖ เปอร์เซ็นต์

โดยที่มีพรรครักประเทศไทยของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แซงอีกสองพรรคใหญ่ (ชาติไทยพัฒนาและภูมิใจไทย) ขึ้นมาเป็นที่สาม

ยิ่งไปกว่านั้นอุบัติการณ์กระทบกระทั่งปีนเกลียวกันภายในพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากส่วนหนึ่งต้องการนำพรรคไปเป็น ข้ารองบู้ธให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกอย่างน้อยสี่ซ้าห้าปี โดยรวมหัวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แสดงเจตนาจะนำพวก กปปส.กลับเข้าไปยึดพรรคฯ

ก่อให้เกิดความอึดอัดในหมู่สมาชิกที่เห็นว่า คสช. หมดเวลา ครองเมืองแล้ว โดยที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีขึ้นสักนิด

กรณี ไลน์หลุดที่ ทีนิวส์นำข้อความสนทนาระหว่างอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงษ์ กับนายเถกิง สมทรัพย์ ผอ. ฟ้าวันใหม่มาเปิดโปง เป็นลางบอกเหตุว่า “ปชป.ท่าทีไม่เป็นเอกภาพ”

และ “แต่ ปชป. บางคนก็ทำตัวเป็นขี้ข้าประยุทธ์...ประยุทธ์ผิดเพราะมาจากยึดอำนาจขและอยู่นานเกิน”

ดังนั้น “เป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ต้องแสดงให้ชัด ว่าไม่ใช่พวกเดียวกับประยุทธ์”

สมทบด้วยการเสนอความเห็นของอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. พิชัย รัตตกุล ให้สี่พรรคใหญ่รวมหัวกันต้านพรรคทหาร คสช. ด้วยการไม่หาเสียงแบบโจมตีสาดโคลนซึ่งกันและกัน แต่ว่าต่างเสนอนโยบายของตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เสร็จแล้วเมื่อผลออกมา พรรคไหนได้เสียงข้างมาก ก็ให้ “๔ พรรคใหญ่สนับสนุนพรรคที่ชนะได้เป็นนายกฯ ไม่เช่นนั้นนักการเมืองจะปิดประตูเเพ้แน่”


จึงเป็นเหตุให้นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้า ปชป. ต้องออกตัวโต้เมื่อถูกพาดพิงว่าเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มที่จะกลับไปยึดพรรค ปชป. แล้วหนุนให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ

อย่าใช้คำว่าขี้ข้าเลยเพราะคิดว่าคนที่ปากกล้าและต่อสู้มาทางการเมือง ผมไม่ได้ด้อยกว่าใคร” นายวิทยาบอกกับสื่อ

“พลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการหรือไม่ ตอบว่าใช่ เพราะได้มาจากการรัฐประหาร แต่ถามว่าสามานย์หรือไม่ ตอบว่ายัง

เผด็จการที่ล้มง่ายที่สุดในประเทศไทยคือเผด็จการสามานย์ เผด็จการที่ล้มยากที่สุดคือเผด็จการทุนนิยมสามานย์ และคงไม่มีเผด็จการที่ไหนตั้งคำถามให้ประชาชนตอบเพื่อรับฟังข้อมูล”


นายวิทยาพูดชัดว่าเห็นควรให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปเพราะเป็นเผด็จการที่ไม่สามานย์ แถมยังตั้งคำถามเพื่อรับฟังข้อมูลว่านักการเมืองไม่ดีอย่างไร

ในประวัติศาสตร์โลก เผด็จการที่ฆ่าประชาชนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด้วยความรังเกียจในเชื้อชาติ ศาสนา หรือว่าต่างอุดมการณ์การเมือง มักสร้างความชอบธรรมให้กับพวกตนด้วยโพล และข้ออ้างว่าสำรวจความเห็นประชาชน ทั้งนั้น

การกระทำของประยุทธ์กำลังเข้ารูปรอยเช่นนั้นเต็มตัว