ประยุทธ์ยอมรับตั้งสี่คำถามเพื่อสกัด อัดนักการเมืองถ้าจะลงเลือกตั้งครั้งหน้า
“เพราะขณะนี้ยังมีกลุ่มการเมืองเดินสายเคลื่อนไหวอยู่ในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีการให้ข้อมูลที่บิดเบือน และดิสเครดิตรัฐบาล”
พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา กล่าวด้วยว่า “ขอตั้งคำถามกลับไปยังนักการเมืองที่ออกมาโจมตีการตั้งคำถามของตนว่า
เป็นใคร ทำไมถึงแตะต้องไม่ได้”
พูดอย่างนี้นักการเมืองก็น่าจะถามกลับอีกว่า แล้วประยุทธ์เป็นอะไร
ทำไมถึงตอบโต้ไม่ได้
แม้จะรู้ดีว่าแท้จริงประยุทธ์คือผู้เผด็จการ ‘อีแอบ’ ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง แต่กลับแอบอ้างว่ามาปูทางประชาธิปไตยให้ประชาชน แล้วไยไม่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง
คำถามทั้งสี่ของประยุทธ์เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ โดยมีวาระซ่อนเร้น
ให้ร้ายบิดเบือนว่านักการเมือง “ให้ความหวังแบบที่เคยทำก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง
เช่น โจมตีรัฐบาล สัญญากับประชาชนว่าจะให้สิ่งนั้นให้สิ่งนี้”
ทั้งที่ในสิ่งอันควรแห่งวิถีประชาธิปไตย
กลุ่มคนที่ต้องการนำแนวทางแบบของตนไปใช้บริหารประเทศ จักต้องเสนอตัว เสนอนโยบาย โฆษณาแนะนำตัว
และออกพบผู้มีสิทธิออกเสียง เพื่อให้เป็นที่คุ้นเคยและประชาชนเกิดความไว้วางใจ
นั่นจึงเรียกว่า ‘หาเสียง’ มิใช่หรือ
การตั้งคำถามของประยุทธ์เป็นเพียงสร้างภาพหลอนให้ประชาชนหวาดระแวง
เมื่อปรากฏว่าฝ่ายการเมืองที่เคยยอมรับการชุบมือเปิบของทหาร เริ่มจะปล่อยวางการเบาะแว้งกับฝ่ายเห็นต่าง
เมื่อเห็นชัดว่า คสช. นั่นเองเป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้ตนเองครองอำนาจยาวนาน
แม้ว่าโพล ม.กรุงเทพฯ จะยังยกบั้นท้ายประยุทธ์ด้วยคะแนนนิยม
๕๒.๘ เปอร์เซ็นต์ สนับสนุนเป็นนายกฯ ต่อไป หากแต่ว่าจำนวนไล่เรี่ยกัน ๕๐.๖
เปอร์เซ็นต์อยากให้มีเลือกตั้งโดยเร็ว
อีกทั้งยังแสดงว่าพรรคเพื่อไทยฝ่ายตรงข้าม คสช. ได้คะแนนเพิ่มขึ้นเป็น
๑๗.๘ เปอร์เซ็นต์ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็นนั่งร้านให้ทหารยึดอำนาจ
คะแนนลดลงไปเป็น ๑๕.๖ เปอร์เซ็นต์
โดยที่มีพรรครักประเทศไทยของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แซงอีกสองพรรคใหญ่
(ชาติไทยพัฒนาและภูมิใจไทย) ขึ้นมาเป็นที่สาม
ยิ่งไปกว่านั้นอุบัติการณ์กระทบกระทั่งปีนเกลียวกันภายในพรรคประชาธิปัตย์
เนื่องจากส่วนหนึ่งต้องการนำพรรคไปเป็น ‘ข้ารองบู้ธ’ ให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกอย่างน้อยสี่ซ้าห้าปี โดยรวมหัวกับนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ แสดงเจตนาจะนำพวก กปปส.กลับเข้าไปยึดพรรคฯ
ก่อให้เกิดความอึดอัดในหมู่สมาชิกที่เห็นว่า คสช. ‘หมดเวลา’ ครองเมืองแล้ว โดยที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีขึ้นสักนิด
กรณี ‘ไลน์หลุด’ ที่ ‘ทีนิวส์’ นำข้อความสนทนาระหว่างอดีต
ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงษ์ กับนายเถกิง สมทรัพย์ ผอ. ‘ฟ้าวันใหม่’ มาเปิดโปง เป็นลางบอกเหตุว่า “ปชป.ท่าทีไม่เป็นเอกภาพ”
และ “แต่ ปชป. บางคนก็ทำตัวเป็นขี้ข้าประยุทธ์...ประยุทธ์ผิดเพราะมาจากยึดอำนาจขและอยู่นานเกิน”
ดังนั้น “เป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ต้องแสดงให้ชัด ว่าไม่ใช่พวกเดียวกับประยุทธ์”
สมทบด้วยการเสนอความเห็นของอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. พิชัย
รัตตกุล ให้สี่พรรคใหญ่รวมหัวกันต้านพรรคทหาร คสช. ด้วยการไม่หาเสียงแบบโจมตีสาดโคลนซึ่งกันและกัน
แต่ว่าต่างเสนอนโยบายของตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เสร็จแล้วเมื่อผลออกมา พรรคไหนได้เสียงข้างมาก ก็ให้ “๔ พรรคใหญ่สนับสนุนพรรคที่ชนะได้เป็นนายกฯ
ไม่เช่นนั้นนักการเมืองจะปิดประตูเเพ้แน่”
จึงเป็นเหตุให้นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช
รองหัวหน้า ปชป. ต้องออกตัวโต้เมื่อถูกพาดพิงว่าเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มที่จะกลับไปยึดพรรค
ปชป. แล้วหนุนให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ
“อย่าใช้คำว่าขี้ข้าเลยเพราะคิดว่าคนที่ปากกล้าและต่อสู้มาทางการเมือง
ผมไม่ได้ด้อยกว่าใคร” นายวิทยาบอกกับสื่อ
“พลเอกประยุทธ์เป็นเผด็จการหรือไม่ ตอบว่าใช่
เพราะได้มาจากการรัฐประหาร แต่ถามว่าสามานย์หรือไม่ ตอบว่ายัง
เผด็จการที่ล้มง่ายที่สุดในประเทศไทยคือเผด็จการสามานย์
เผด็จการที่ล้มยากที่สุดคือเผด็จการทุนนิยมสามานย์
และคงไม่มีเผด็จการที่ไหนตั้งคำถามให้ประชาชนตอบเพื่อรับฟังข้อมูล”
นายวิทยาพูดชัดว่าเห็นควรให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปเพราะเป็นเผด็จการที่ไม่สามานย์
แถมยังตั้งคำถามเพื่อรับฟังข้อมูลว่านักการเมืองไม่ดีอย่างไร
ในประวัติศาสตร์โลก เผด็จการที่ฆ่าประชาชนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นด้วยความรังเกียจในเชื้อชาติ
ศาสนา หรือว่าต่างอุดมการณ์การเมือง มักสร้างความชอบธรรมให้กับพวกตนด้วยโพล และข้ออ้างว่าสำรวจความเห็นประชาชน
ทั้งนั้น
การกระทำของประยุทธ์กำลังเข้ารูปรอยเช่นนั้นเต็มตัว