“เราไม่ปรองดองกับพวกปิดกั้นความจริง บิดพริ้วความยุติธรรม
และแชเชือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
นั่นเป็นความหมายจากคำประกาศของญาติมิตรผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ล้อมปราบ
ล่าสังหารผู้ชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๕๓
อัน “ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต ๘๔ ราย (เจ้าหน้าที่ ๑๐ ราย)
และบาดเจ็บอีกกว่า ๑,๔๐๐ คน”
นอกเหนือจากนั้น อานนท์ นำภา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๕๓ มีคนตายจากการสลายการชุมของเจ้าหน้าที่ทหาร
จำนวน ๘ ศพ ทั้งหมดเหตุเกิดที่ ถนนพระราม ๔
๑.นายสมชาย พระสุพรรณ ๒.นายสุพรรณ์
ทุมทอง ๓.นายเฉลียว ดีรื่นรัมย์ ๔.นายวุฒิชัย
วราคัม ๕.นายประจวบ ประจวบสุข ๖.นายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล ๗.นายสมัย ทัดแก้ว ๘.นายสุพจน์ ยะทิมา”
(ขอบคุณนิตยสาร ‘เวย์’ ที่ทำกร๊าฟฟิครายชื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์
#19พฤษภา53 พร้อมระบุว่า “เราขออุทิศพื้นที่ให้แด่ผู้สูญเสียและญาติมิตร...เพื่อรำลึกและย้ำเตือนว่า
พวกเขาเหล่านี้จะไม่ถูกลืม
ผู้กระทำผิด
ผู้เกี่ยวข้อง และผู้อยู่เบื้องหลังยังคงไม่ได้รับการลงโทษ...ผู้เสียชีวิตทั้ง ๙๔ คน
ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และพวกเขาไม่อาจส่งเสียงให้ใครได้ยิน...
เหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ว่า
เป็น (อีก)
ครั้งหนึ่งที่ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ได้กระทำต่อประชาชนที่คิดต่าง-เห็นต่าง
และลุกขึ้นสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยความรุนแรงปานใด”
ตามรายงานของ ศปช. หรือ ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเดือนเมษายน–พฤษภาคม ๕๓ ซึ่งยืนยันว่า
“ความจริง คือหัวใจของความยุติธรรม และความปรองดอง”
แม้เวลาจะล่วงเลยมา ๗ ปี เหยื่อของการสลายชุมนุมก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา
ทั้งที่ปรากฏชัดว่า
“รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-สุเทพ เทือกสุบรรณ
และกองทัพ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุและละเมิดกฎการใช้กำลังจากเบาไปหาหนักในการสลายการชุมนุม”
มีการใช้กระสุนจริงไปทั้งสิ้น ๑๑๗,๙๒๓ นัด และใช้กระสุนสไนเปอร์ซุ่มยิง ๒,๑๒๐
นัด
“ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้เสียชีวิตรายใดมีอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำร้ายเจ้าหน้าที่ในระยะไกลได้”
โดยเฉพาะผู้ตาย ๖ รายในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม ศาลวินิจฉัยว่าการเสียชีวิตของทั้ง
๖ คน เป็นผลจากการกระทำของทหาร
ข้อกล่าวอ้างที่พวกสนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพและคณะทหาร
ว่าผู้ชุมนุมซึ่งเรียกกันว่า ‘เสื้อแดง’ “เผาบ้านเผาเมือง”
นั้น ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้นไปแล้ว
ว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงสองคนที่โดนข้อหาวางเพลิงเซ็นทรัลเวิร์ลด์ไม่ใช่ผู้กระทำ
หลังจากรัฐประหาร ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗
การฟ้องร้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในข้อหาฆ่าคนตาย ฐานออกคำสั่ง ศอฉ. สลายการชุมนุมปื
๕๓ ถูกศาลอาญายกฟ้อง อ้างว่าเป็นการฆ่าในหน้าที่ เป็นความผิดต่อตำแหน่งงาน
ให้ไปฟ้อง ปปช. เป็นผู้ชี้มูลส่งศาลอาญาแผนกคดีการเมือง
ปปช. กลับชี้ว่าไม่มีมูล อ้างว่าพยานหลักฐานรับฟังไม่ได้
เพราะการใช้อาวุธทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นความผิดเฉพาะตัวเจ้าหน้าที่ผู้เหนี่ยวไกยิง
อยากจะเอาผิดให้ไปไล่เบี้ยฟ้องรายบุคลต่อดีเอสไอเอาเอง
แล้วมาบัดนี้ ๗ ปีให้หลัง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการ
ศอฉ. หนึ่งในผู้หลุดข้อหา ‘สั่งฆ่า’
ที่ราชประสงค์ ออกมาประกาศสนับสนุนให้หัวหน้าคณะรัฐประหาร ๒๕๕๗ “ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ในช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศ ๔-๕ ปี” อ้างว่าตนมองไม่เห็น ‘คนนอก’ อื่นๆ ที่เหมาะสม
ขณะที่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนนี้เคยดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ทบ. และเป็นผู้ช่วย ผอ.
ศอฉ. ที่สั่งใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม ‘ราชประสงค์ ๕๓’
นักการเมืองอีกคนจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ทหารช่วยตั้งในค่าย
ราบ ๑๑ ที่สั่งฆ่าประชาชนตามหน้าที่เมื่อปี ๕๓ นายถาวร เสนเนียม หนึ่งในแกนนำ
กปปส. พวกเป่านกหวีดปิดประเทศสร้างสถานการณ์คุกรุ่นเรียกทหารมายึดอำนาจ
เขาขานรับเสริมปฏิบัติการสร้างนั่งห้างให้ประยุทธ์อยู่ยาวอีกอย่างน้อยสี่ซ้าห้าปี
อ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี ๒๕๖๐ กำหนดให้ต้องมีนายกฯ คนนอกอยู่แล้ว ในเมื่อ คสช.
มีเสียงวุฒิสภาแต่งตั้ง ๒๕๐ คน ต้องการเสียงจาก ส.ส. ของพรรคการเมืองอีกเพียง ๑๒๖
เสียงก็เป็นผู้ตั้งรัฐบาลได้แล้ว
นายถาวรจึงสนับสนุนข้อเสนอของนายสุเทพให้ผลักดัน
พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปอีก พร้อมทั้งช่วยผลักดันให้
กปปส.กลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ “สู่การเมือง” อีกครั้ง ดังที่นายสุเทพพูดไว้
ปชป. จะได้เป็น ‘ข้ารองบู้ท’ ให้พล.อ.ปรายู้ธครองเมืองนานๆ