วันอังคาร, พฤษภาคม 30, 2560

อืมม์...ต้องหลบหน้า กลัวจะเห็นหัวส่าย ในเมื่อหางยังกระดิกไม่หยุด

อืมม์ นายกฯ ทั่นมองการไกลมาก ยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาน้ำรอระบายได้มากน้อยแค่ไหน ก็รุดไปถึงเรื่องกักเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง


คงไม่เหมือนกำจัดผักตบชวานะฮัพ บ้านใครบ้านมันให้ช่วยจัดการกันเอง ไม่งั้นชาวบ้านเขาต้องนินทา ว่าทั่นไม่แมน ชอบผลักไส อะไรผิดพลาดเสียหายโทษรัฐบาลที่แล้ว อะไรไฟล้ท์ยากหรือไม่อยากทำ ยกให้ประชาชน

ในเมื่อช่วงนี้ชัดเจนแล้วว่าหลังจากครองเมืองมาสามปี คสช. ไร้น้ำยา จริงๆ ดังที่ อจ. พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. สรุปจะแจ้ง

“ปท.ไทยเปลี่ยนจากรับเงินทุนไหลเข้า กลายเป็นเงินทุนไหลออกสุทธิ สามปีนี้ ไหลออกรวม ๖ หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. มีทั้งทุนต่างชาติและทุนไทย ส่วนใหญ่ไหลไป ปท.ข้างเคียงที่อนาคตสดใสกว่า

การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (เข้ามาตั้งโรงงาน ที่เรียกว่า FDI) ลดฮวบจากหมื่นกว่าล้านดอลลาร์ในปี ๕๖ เหลือแค่ ๒.๕ พันล้านดอลลาร์ในปี ๕๙

ต่างชาตินอกอาเซียนเคยนิยมมาลงทุนในไทยเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ แต่ถึงปี ๕๘ ไทยหล่นไปอันดับห้า ตามหลังสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา พม่า”


หรือที่ วัฒนา เมืองสุข ยกเอารายงานของธนาคารพัฒนาเอเซีย หรือ ADB  “ชี้ว่า เศรษฐกิจรากหญ้าซึมยาวเพราะค้าปลีกไทยโตต่ำสุดในอาเซียนต่อเนื่องมาเกือบ ๔ ปี...

ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ก็อาการแย่ไม่แพ้กัน เพราะธนาคารไม่ปล่อยหนี้ผู้กู้ ทำให้ไตรมาสแรกยอดโอนหายไป ๔๐%

หายนะทางเศรษฐกิจทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ นับจากมีการชัตดาวน์กรุงเทพ และทหารออกมายึดอำนาจ...

เศรษฐกิจของไทยจึงอยู่ในอาการโคม่า เพราะเศรษฐีไม่กล้าใช้เงิน ส่วนประชาชนทั่วไปไม่มีเงินจะใช้ จึงกระทบถึงอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวพันกับผู้คนทั้งประเทศ กำลังซื้อภาคประชาชนที่ถดถอยส่งผลให้การจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมาย”


นั่นตรงกับข้อมูลตัวเลขที่ศูนย์ข้อมูลข่าวสืบสวนแห่งประเทศไทยสืบค้นเอามาตีพิมพ์เป็นวิทยาทาน ว่าอัตราว่างงานของไทยที่เคยอยู่ต่ำกว่า ๑ เปอร์เซ็นต์ก่อนรัฐประหาร ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ตั้งแต่ ๕๗ ถึง ๕๙ จนมาอยู่ที่ ๑ เปอร์เซ็นต์ อันเป็นแนวโน้มที่ไม่น่าสบายใจนัก

ขณะที่ตัวเลขการเลิกกิจการในไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงสามปีที่ คสช. แย่งอำนาจบริหารประเทศมาจากรัฐบาลชุดเลือกตั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นั่นคือเพิ่มจาก ๑๗,๔๓๕ ราย มาเป็น ๑๘,๙๖๘ รายในปี ๕๗ กับ ๒๒,๕๗๖ ในปี ๕๘ และ ๒๐,๙๘๓ ในปี ๕๙


พอมาวันนี้ (๓๐ พ.ค.) มีแปลก พล.อ.ประยุทธ์งดให้สัมภาษณ์สองสามอาทิตย์ น่าคิดว่าเป็นประเด็นการเมืองเนื่องจากกระแสดันให้อยู่ต่อในตำแหน่งนายกฯ คนนอก เริ่มจะแป้กหัวคิวหรือเปล่า

ไม่รู้บิ๊กตูบงอนหรือไร ที่ ๖๐ ส.ส. พรรค ปชป. ยกขบวนสักการะ ร.๗ แสดงพลังหนุนข้างน้องม้าร์ค ต้านแรงดัน กปปส. ที่ตั้งท่ารุกฆาตจะยึดพรรคเอาไปเป็นข้ารองบู้ธบิ๊กตูบ

หลังจากเกิดเหตุจิกกันในเข่งเมื่อสุเทือกประกาศนำทัพ กปปส.คืนถิ่น และชักชวน ส.ส.พรรค ร่วมแรงร่วมใจยกให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ คนนอก ไว้เสียเลยก่อนจะเลือกตั้ง เพราะท่าทางพรรคเพื่อไทยจะชนะอีก แต่ไม่มากพอสู้พรรควุฒิสภาลากตั้งได้ แล้วเกิดเสียงค้าน

หนำซ้ำอดีตนายกฯ ของ ปชป. พิชัย รัตตกุล ออกมาแนะแนวให้สี่พรรครวมหัวกันต้านพรรคทหารเสียอีก

งานนี้จึงมีตัวเด่น ปชป. สายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียงหน้ากันออกมาค้านนายพิชัย อาทิ วิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายของ ปชป. บอกว่า “โมเดล ๔ พรรคใหญ่แตะมือกันจึงเป็นได้ยากมาก”

นายวิรัตน์ใช้วาทกรรม เอาชั่วใส่คนอื่นโดยพาดพิงพรรคคู่กัดว่า หมิ่นเหม่ ๑๑๒ และ จัดกองกำลังไม่ทราบฝ่ายออกมาเข่นฆ่าพี่น้องประชาชน

จากนั้นจึง เอาดีเข้าตัวว่า “เราไม่เคยเป็นฝ่ายค้านที่รอเสียบจะเป็นรัฐบาล” พร้อมทั้งคุย “จะมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่ยาก” เสียด้วย


อีกคน สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค ปชป. ขออย่าเพิ่งไปไกล ออกนอกกติกาประชาธิปไตย (อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เตือนสติพรรคทหาร คสช. “อย่าไปคิดใหญ่กว่าประชาชน”

ทั้งยังเตือนพวกคล้อยตามทฤษฎี มัดหวาย ของนายพิชัยด้วยว่านายอภิสิทธิ์ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เคยพูดชัดแล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คอยครอบงำ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

ความระส่ำระสายใน ปชป. ครั้งนี้ อดีต ส.ส.อุบลราชธานี อิสระ สมชัย หนึ่งในตัวเอ้ กปปส. ชี้หน้าสองเพื่อน ส.ส.ร่วมพรรคจากใต้ จังหวัดชุมพรและนครศรีธรรมราช ขัดแย้งกันเองแล้วป้ายสีให้ กปปส.


ความวุ่นวายภายใน ปชป. อย่างนี้ หากพินิจให้ดีเห็นได้ไม่ยาก ว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่การก่อเสียงอึกทึกเขย่าขวัญ จะให้ ปชป. ช่วยกันหนุนประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอก

เจ้าตัวคงจะไม่อยากปฏิเสธในขณะที่ยังไม่กล้าตอบรับ จึงต้องหลบหน้า กลัวจะเห็นหัวส่าย ในเมื่อหางยังกระดิกไม่หยุด