วันจันทร์, พฤษภาคม 22, 2560

การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเผด็จการในประเทศไทย ไม่พ้นสายตาองค์กรต่างประเทศ

หลังรัฐประหาร กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถูกนำมาใช้ไม่เป็นไปตามหลักการที่เราเรียนมา ไม่เป็นไปตามหลักการที่เราสอน”


“ที่น่ากลัวมากคือเราคิดว่ามาตรา ๔๔ มีปัญหา... สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติ กฎหมายที่มันออกมามันมีที่มาที่ไม่ชอบธรรม”

คือแก่นความรู้สึกของเธอที่ระบายออกมาอย่างอัดอั้นว่า “ในสังคมที่เราอยู่ตรงนี้ของพวกบรรดานักวิชาการ แวดวงนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย เรารู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่น่าดีใจเลย

เหมือนกับว่าเขาไม่สะทกสะท้าน หรือไม่รู้สึกว่ามันขัดกับสิ่งที่เขาสอน”


มันจึงได้มีคำสั่ง คสช. ที่ไม่แยแสต่อความถูกต้องของหลักกฎหมาย ใช้ความชอบแห่งการมีรัฏฐาธิปัตย์ที่ได้มาจากการใช้กำลังยึดอำนาจเท่านั้น

๑๒.๓๐ น. ทหารบอกผู้จัดงานเสวนา ปี รปห.ฯ (ในวันนี้ ๒๒ พ.ค.) ว่าห้ามมีคำว่า คสช. เผด็จการ รัฐประหาร เพราะเป็นคำที่มีปัญหาด้าน ค.มั่นคง ไม่เช่นนั้นจะจับกุม@iLawFX รายงานทางทวิตเตอร์

การใช้คำสั่งแบบนั้น กระทั่งผู้ที่เข้าใจภาษาไทยธรรมดาย่อมรู้ดีว่ามันมั่วซั่ว ตามอำเภอใจ ไร้ซึ่งฐานรากความชอบธรรมสำหรับบังคับใช้ สิ้นดี

จะมีคำสั่งแบบนี้อีกกี่ร้อยในจำนวนคำสั่ง คสช. ที่ออกมาเป็นข้อบังคับนับแต่ยึดอำนาจในปี ๒๕๕๗ ทั้งสิ้น ๓๕๘ คำสั่ง

ที่แม้แต่สำนักข่าวต่างประเทศก็รู้ดีว่ามันล้นเฟ้อเกินกว่าทำนองคลองธรรมแห่งหลักนิติธรรมสากล ดังที่รอยเตอร์รวบรวมสถิติไม่ปกติของการเมืองการปกครองไทยภายใต้อำนาจทหารไว้ว่า

“เดี๋ยวนี้กองทัพกุมกำลังสมาชิก ๑๔๓ คน ในสภานิติบัญญัติ ๒๕๐ ที่นั่ง ซึ่งเมื่อปี ๒๕๔๙ หลังจากยึดอำนาจ มีทหารในสภานิติบัญญัติเพียง ๖๗ คนเท่านั้น จากทั้งหมด ๒๔๒”


ความแตกต่างขององค์ประกอบคณะรัฐมนตรีก็เช่นกัน ขณะนี้มีทหาร ๑๒ คน ในจำนวนรัฐมนตรีทั้งสิ้น ๓๖ คน ขณะที่เมื่อปี ๔๙ มีทหารอยู่ในคณะรัฐมนตรี ๔ คน จาก ๓๗ รัฐมนตรี

จำนวนทหารในคณะองคมนตรีก็เช่นกัน ในชุดใหม่ของรัชกาลที่ ๑๐ แม้จะมีคนใหม่เข้าไปเพียงสี่ห้าคน แต่เป็นทหารเกือบทั้งนั้น ทำให้องคมนตรีที่เป็นทหารมีมากกว่าครึ่ง โดยที่ชุดก่อนมีทหารน้อยกว่าครึ่ง

จึงไม่แปลก แต่เจ็บปวด ที่อำนาจทหารซึ่งไม่ใยดีกับความถูกต้องตามหลักการแห่งกฎหมายได้เอ่อล้นไปท่วมท้นกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจ หน่วยงานซึ่งให้คุณให้โทษแก่ประชาชนส่วนบุคคลโดยตรง

รายงานข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เมื่อวานนี้ (๒๑ พ.ค.) ระบุคำพูดของพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเรื่องมาตรการจัดการกับเว็บหมิ่นฯ ว่า

“การดูโพสต์ที่มีเนื้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ อาจเข้าข่ายกระทำผิด” ด้วยเหมือนกัน อจ. Puangthong R. Pawakapan แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เล่าแจ้งเนื้อหาข่าว

“ฐิติราชกล่าวว่า เว็บหมิ่นฯเกี่ยวข้องกับคน ๓ พวก (๑) ผู้ผลิตเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย (๒) คนดูที่เขียนคอมเม้นท์, แชร์ หรือคลิ้กไล้ค์ (๓) คนที่ดูโดยไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ” จากคำอธิบายของ Somsak Jeamteerasakul นักประวัติศาสตร์ที่มีสถานภาพลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

“คนกลุ่มที่สาม เพียงแต่ตามดู พวกเขาไม่ได้เขียนคอมเม้นท์ ขณะนี้ตำรวจกำลังหาเครื่องมือที่จะบอกได้ว่าคนกลุ่มที่เพียงแต่ดูนี้เป็นใคร และจะสอบสวนว่าทำไมพวกเขาจึงชอบดู” สศจ. ให้รายละเอียด

ในเบื้องต้นตำรวจจะยังไม่ใช้มาตรการทางกฎหมายต่อคนกลุ่มนี้ ตำรวจจะแค่ติดต่อไป เข้าไปคุยและตักเตือนก่อน

พูดง่าย ๆ ในเบื้องต้น ขอข่มขูให้กลัวก่อน #สมแล้วที่เป็นประเทศด้อยพัฒนา” อจ. พวงทองคอมเม้นต์ ต่างกรรม ต่างแพล็ตฟอร์ม

ทำไมตำรวจ-กระทรวงดีอี-กสทช. จึงคิดหรือชอบทำอะไรงี่เง่าพิเรนทร์ๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ไม่ได้ผล หรือได้ผลตรงข้าม” สศจ. ใส่บ้างต่างวาระ ต่างน้ำเสียง

“แน่นอน ผมไม่ลืมว่าตำรวจยังได้ใช้มาตรการ เชือดไก่ให้ลิงดู จับคนแชร์กระทู้ผมไป ๔ คน ซึ่งแม้จะเป็นมาตรการสิ้นคิด แต่มีผลเดือดร้อนต่อพวกเขา (https://goo.gl/n3SQ8b)

การใช้อำนาจบาตรใหญ่ให้ผู้ที่มีความคิดอิสระไม่ต้องการตกเป็นทาสเผด็จการได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งกลั่นแกล้งข่มเหงนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และผู้ที่พยายามทำให้กฎหมายมีความชอบธรรมในประเทศไทย ไม่พ้นสายตาขององค์กรต่างประเทศ

จึงได้มีการสนับสนุนบุคคลากรในประเทศไทยในการต่อต้านอำนาจเถื่อนเหล่านั้น


ดังเช่นการให้รางวัลแก่ไผ่ ดาวดิน โดยองค์การ ๑๘ พฤษภา กวางจู เกาหลีใต้ และรางวัลทนายความดีเด่นแก่ ทนายจูน ศิริกานต์ เจริญศิริ โดยองค์การ ‘Lawyers for Lawyers’ ในเนเธอร์แลนด์ เป็นเครื่องบ่งบอกว่า

อาการผิดผีผิดไข้ในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลทหารประเทศไทยนั้น แม้จะได้รับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จากชุมชนวิชาชีพในประเทศ แต่ชุมชนนานาอารยชาติเขาไม่เฉยด้วย

การละเมิดหลักความชอบธรรมทางสากลนี้จะเป็นชนักปักหลังผู้ปกครองและผู้กุมอำนาจในประเทศไทย ไม่ช้า (น่าจะเร็ว) จะต้องถูกประณามและจัดการ ‘bring back to justice’ นำกลับเข้าระบบยุติธรรมที่ถูกต้องจนได้