“หลังรัฐประหาร
กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ถูกนำมาใช้ไม่เป็นไปตามหลักการที่เราเรียนมา ไม่เป็นไปตามหลักการที่เราสอน”
“ที่น่ากลัวมากคือเราคิดว่ามาตรา
๔๔ มีปัญหา... สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติ กฎหมายที่มันออกมามันมีที่มาที่ไม่ชอบธรรม”
คือแก่นความรู้สึกของเธอที่ระบายออกมาอย่างอัดอั้นว่า “ในสังคมที่เราอยู่ตรงนี้ของพวกบรรดานักวิชาการ
แวดวงนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย เรารู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่น่าดีใจเลย
มันจึงได้มีคำสั่ง คสช. ที่ไม่แยแสต่อความถูกต้องของหลักกฎหมาย ใช้ความชอบแห่งการมีรัฏฐาธิปัตย์ที่ได้มาจากการใช้กำลังยึดอำนาจเท่านั้น
“๑๒.๓๐ น. ทหารบอกผู้จัดงานเสวนา ๓ ปี รปห.ฯ (ในวันนี้ ๒๒
พ.ค.) ว่าห้ามมีคำว่า
คสช. เผด็จการ รัฐประหาร เพราะเป็นคำที่มีปัญหาด้าน ค.มั่นคง ไม่เช่นนั้นจะจับกุม” @iLawFX รายงานทางทวิตเตอร์
การใช้คำสั่งแบบนั้น กระทั่งผู้ที่เข้าใจภาษาไทยธรรมดาย่อมรู้ดีว่ามันมั่วซั่ว
ตามอำเภอใจ ไร้ซึ่งฐานรากความชอบธรรมสำหรับบังคับใช้ สิ้นดี
จะมีคำสั่งแบบนี้อีกกี่ร้อยในจำนวนคำสั่ง คสช. ที่ออกมาเป็นข้อบังคับนับแต่ยึดอำนาจในปี
๒๕๕๗ ทั้งสิ้น ๓๕๘ คำสั่ง
ที่แม้แต่สำนักข่าวต่างประเทศก็รู้ดีว่ามันล้นเฟ้อเกินกว่าทำนองคลองธรรมแห่งหลักนิติธรรมสากล ดังที่รอยเตอร์รวบรวมสถิติไม่ปกติของการเมืองการปกครองไทยภายใต้อำนาจทหารไว้ว่า
“เดี๋ยวนี้กองทัพกุมกำลังสมาชิก ๑๔๓ คน ในสภานิติบัญญัติ ๒๕๐
ที่นั่ง ซึ่งเมื่อปี ๒๕๔๙ หลังจากยึดอำนาจ มีทหารในสภานิติบัญญัติเพียง ๖๗ คนเท่านั้น
จากทั้งหมด ๒๔๒”
ความแตกต่างขององค์ประกอบคณะรัฐมนตรีก็เช่นกัน ขณะนี้มีทหาร
๑๒ คน ในจำนวนรัฐมนตรีทั้งสิ้น ๓๖ คน ขณะที่เมื่อปี ๔๙ มีทหารอยู่ในคณะรัฐมนตรี ๔
คน จาก ๓๗ รัฐมนตรี
จำนวนทหารในคณะองคมนตรีก็เช่นกัน ในชุดใหม่ของรัชกาลที่ ๑๐
แม้จะมีคนใหม่เข้าไปเพียงสี่ห้าคน แต่เป็นทหารเกือบทั้งนั้น ทำให้องคมนตรีที่เป็นทหารมีมากกว่าครึ่ง
โดยที่ชุดก่อนมีทหารน้อยกว่าครึ่ง
จึงไม่แปลก แต่เจ็บปวด ที่อำนาจทหารซึ่งไม่ใยดีกับความถูกต้องตามหลักการแห่งกฎหมายได้เอ่อล้นไปท่วมท้นกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจ
หน่วยงานซึ่งให้คุณให้โทษแก่ประชาชนส่วนบุคคลโดยตรง
รายงานข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เมื่อวานนี้ (๒๑ พ.ค.) ระบุคำพูดของพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเรื่องมาตรการจัดการกับเว็บหมิ่นฯ ว่า
“การดูโพสต์ที่มีเนื้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ
อาจเข้าข่ายกระทำผิด” ด้วยเหมือนกัน อจ. Puangthong R. Pawakapan แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เล่าแจ้งเนื้อหาข่าว
“ฐิติราชกล่าวว่า
เว็บหมิ่นฯเกี่ยวข้องกับคน ๓ พวก (๑)
ผู้ผลิตเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย (๒) คนดูที่เขียนคอมเม้นท์,
แชร์ หรือคลิ้กไล้ค์ (๓) คนที่ดูโดยไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ”
จากคำอธิบายของ Somsak Jeamteerasakul นักประวัติศาสตร์ที่มีสถานภาพลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
“คนกลุ่มที่สาม
เพียงแต่ตามดู พวกเขาไม่ได้เขียนคอมเม้นท์
ขณะนี้ตำรวจกำลังหาเครื่องมือที่จะบอกได้ว่าคนกลุ่มที่เพียงแต่ดูนี้เป็นใคร
และจะสอบสวนว่าทำไมพวกเขาจึงชอบดู” สศจ. ให้รายละเอียด
“ในเบื้องต้นตำรวจจะยังไม่ใช้มาตรการทางกฎหมายต่อคนกลุ่มนี้ ตำรวจจะแค่ติดต่อไป เข้าไปคุยและตักเตือนก่อน
พูดง่าย
ๆ ในเบื้องต้น ขอข่มขูให้กลัวก่อน #สมแล้วที่เป็นประเทศด้อยพัฒนา” อจ.
พวงทองคอมเม้นต์ ต่างกรรม ต่างแพล็ตฟอร์ม
“ทำไมตำรวจ-กระทรวงดีอี-กสทช.
จึงคิดหรือชอบทำอะไรงี่เง่าพิเรนทร์ๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าทำไม่ได้ ไม่ได้ผล
หรือได้ผลตรงข้าม” สศจ. ใส่บ้างต่างวาระ ต่างน้ำเสียง
“แน่นอน
ผมไม่ลืมว่าตำรวจยังได้ใช้มาตรการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ จับคนแชร์กระทู้ผมไป ๔ คน
ซึ่งแม้จะเป็นมาตรการสิ้นคิด แต่มีผลเดือดร้อนต่อพวกเขา (https://goo.gl/n3SQ8b)”
การใช้อำนาจบาตรใหญ่ให้ผู้ที่มีความคิดอิสระไม่ต้องการตกเป็นทาสเผด็จการได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งกลั่นแกล้งข่มเหงนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
และผู้ที่พยายามทำให้กฎหมายมีความชอบธรรมในประเทศไทย ไม่พ้นสายตาขององค์กรต่างประเทศ
จึงได้มีการสนับสนุนบุคคลากรในประเทศไทยในการต่อต้านอำนาจเถื่อนเหล่านั้น
จึงได้มีการสนับสนุนบุคคลากรในประเทศไทยในการต่อต้านอำนาจเถื่อนเหล่านั้น
ดังเช่นการให้รางวัลแก่ไผ่
ดาวดิน โดยองค์การ ๑๘ พฤษภา กวางจู เกาหลีใต้ และรางวัลทนายความดีเด่นแก่ ทนายจูน
ศิริกานต์ เจริญศิริ โดยองค์การ ‘Lawyers
for Lawyers’ ในเนเธอร์แลนด์ เป็นเครื่องบ่งบอกว่า
อาการผิดผีผิดไข้ในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลทหารประเทศไทยนั้น
แม้จะได้รับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่จากชุมชนวิชาชีพในประเทศ แต่ชุมชนนานาอารยชาติเขาไม่เฉยด้วย
การละเมิดหลักความชอบธรรมทางสากลนี้จะเป็นชนักปักหลังผู้ปกครองและผู้กุมอำนาจในประเทศไทย ไม่ช้า (น่าจะเร็ว) จะต้องถูกประณามและจัดการ ‘bring back to justice’ นำกลับเข้าระบบยุติธรรมที่ถูกต้องจนได้
การละเมิดหลักความชอบธรรมทางสากลนี้จะเป็นชนักปักหลังผู้ปกครองและผู้กุมอำนาจในประเทศไทย ไม่ช้า (น่าจะเร็ว) จะต้องถูกประณามและจัดการ ‘bring back to justice’ นำกลับเข้าระบบยุติธรรมที่ถูกต้องจนได้