ผมว่าลำพังเนติวิทย์และความคิดของเขาไม่มีวันทำลายสถาบันได้หรอกครับ คนที่ทำลายสถาบัน คือคนที่ไม่คิดปรับปรุงอะไร ด่าอย่างเดียว แล้วก็หาสมัครพรรคพวกให้มาช่วยกันด่า
ไพทูรย์ ปานสูง/ผมก็จบจุฬาฯขอพูดเรื่องเนติวิทย์ด้วยคน..
ผมมาจากครอบครัวยากจน พ่อเป็นครูประชาบาล เงินเดือน 900 บาท แม่ขายส้มตำข้างถนน จบจากโรงเรียนประจำจังหวัด (นครพนมปิยะมหาราชาลัย) มาต่อที่ ร.ร.สันติราษฎร์ แล้วเข้าจุฬาฯเมื่อปี 2501
ถ้าถามว่าภาคภูมิใจไหมที่เข้าจุฬาฯ ต้องตอบว่ามากถึงมากที่สุด เข้าจุฬาฯทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนจากครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ เปี่ยมด้วยเมตตา มาสอนนิสิตด้วยจิตอาสาเพื่อสานปณิธานในหลวง ร.5 ที่ต้องการให้ประชาชนไทยมีความรู้สูงขึ้น เพื่อพัฒนาบ้านเมือง
ที่นี่ผมได้เรียนกฎหมายจากองคมนตรีธานินทร์ เรียนวิชาภาษีอากรจากหม่อมเจ้า(พวกเราเรียกท่านแจ็ค) ซึ่งใจดีมากๆ สอนให้เข้าใจเรื่องคิดและกรอกภาษี และประโยชน์ของภาษีที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้ผมมีความภาคภูมิใจยิ่ง เมื่อทำงานและถูกหักภาษีครั้งแรก เพราะรู้ว่าภาษีที่เราจ่ายไปเพื่อทำนุบำรุงบ้านเมือง (แน่นอนรวมทั้งจุฬาฯเราด้วย) มีคณะบดีที่เป็นถึงพระยาผู้มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ งบที่ท่านได้มาสร้างตึกเหลือท่านส่งคืนคลัง ทำให้เราจำแบบอย่างเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป
ตลอด 4 ปีที่เรียน เราได้ซึมซับความเป็นจุฬาฯโดยไม่รู้ตัว ไม่มีใครหรอกครับที่จบแล้วไม่รักจุฬา (รวมถึงสถาบันอื่นๆด้วยเช่นกัน)
เราต้องยอมรับสิ่งที่ว่า เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป (เปลี่ยนแปลง)ดังนั้น เราจะมาคิดว่าจุฬาฯตอนนี้ต้องเหมือนเมื่อปี 2501 แค่คิดก็บ้าแล้ว
ประเพณีเป็นสิ่งที่ดีงาม ที่ควรรักษา และปรับปรุงให้เข้ากับสมัยเพื่อให้คงอยู่
รุ่นผมเป็นรุ่นแรกที่การรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นการยืนรับอย่างปัจจุบัน เปลี่ยนจากการนั่งรับเมื่อก่อนหน้า ตอนแรกพวกเราก็เสียใจว่า เราอยู่ห่างพระเจ้าอยู่หัวไปหน่อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่เราก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงเปลี่ยน ขอเรียกว่าปรับปรุงจะดีกว่า เพราะการรับแบบปัจจุบันใช้เวลาน้อยกว่าการนั่งรับแบบอดีต ผลก็คือพระเจ้าอยู่หัวใช้เวลาน้อยลง (พูดตรงๆก็คือพวกเราทรมารท่านน้อยลงนั่นเอง) ซึ่งเป็นผลดีต่อพระองค์
ขอพูดเรื่องความรักจุฬาฯ ซึ่งแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ผมดีใจทุกครั้งเมื่อรู้ว่าจุฬาฯถูกจัดเป็นมหาวิทยาลัยอันดับโลก ดีใจทุกครั้งเมื่อทราบว่าทีมนิสิตจุฬาฯไปชนะเลิศการแข่งขันเสนอเรื่องธุรกิจจากต่างประเทศและดีใจและภาคภูมิใจตอนเรียนที่รู้ว่าจุฬาฯเป็นตัวนำในการเดินขบวนต่อต้านการเลือกตั้งสกปรกสมัยปี 2500 และเอาใจช่วยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาต่อต้านทรราช เพราะคิดว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นสมองของชาติ ต้องเป็นตัวนำสังคม และความคิดเพื่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงประเทศในทางที่ถูกที่ควร
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ครูบาอาจารย์ที่สอนวิชากฎหมายก็ดี รัฐศาสตร์ก็ดี หรือเศรษฐศาสตร์ที่รู้ถึงผลเสียของระบบผูกขาด(เศรษฐกิจกับอำนาจเหมือนกัน) ก็ดี ท่านสอนนิสิตให้รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่ทำไมท่านจึงไปลอยหน้าลอยตาร่วมมือกับพวกผูกขาด แทนที่จะปฏิเสธเพราะรู้ว่ามันไม่ดี ตรงข้ามกับที่ท่านสอนลุกศิษย์ ท่านลองคิดดู ถ้าพวกท่านไม่ร่วมมือซะอย่าง มันจะไปได้สักแค่ใหน
ผมว่าการทำแบบนี้มีผลต่อชื่อเสียงมหาวิทยาลัยมากกว่าเนติวิทย์หลายเท่า
เนติวิทย์เป็นเด็กรุ่นใหม่ มีความคิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่ ที่เขาเห็นว่าน่าจะมีสิ่งที่ดีกว่า เราเคยคิดว่าประเทศเราไม่เจริญเพราะเด็กๆเอาแต่ท่องตำรา ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่พอมีคนคิด (และบังเอิญไม่เหมือนเรา) เราในฐานะอาวุโสกว่าก็ไปตำหนิว่าเขาจะทำลายสถาบัน
ผมว่าลำพังเนติวิทย์และความคิดของเขาไม่มีวันทำลายสถาบันได้หรอกครับ คนที่ทำลายสถาบัน คือคนที่ไม่คิดปรับปรุงอะไร ด่าอย่างเดียว แล้วก็หาสมัครพรรคพวกให้มาช่วยกันด่า
ขอถามว่าแล้วไงต่อ? มีอะไรใหม่ไหมครับ? ปรากฎว่าไม่มี คือด่าแล้วเลิก
ขอพูดกับเนติวิทย์อย่างนี้ครับ คุณเดินหน้าแนวคิดของคุณไปเถอะ ตราบใดที่แนวคิดของคุณเพื่อปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้นก็จะเอาใจช่วย
แต่เมื่อไหร่ทำเพื่อตัวเอง "ดัง" ละก็จะขอ "ถุย"
ที่มา FB
สถานีคิดของคนไทย
ooo
เรื่องเกี่ยวเนื่อง...
ทำไมฝ่ายขวาจึงหัวร้อนเมื่อ ‘เนติวิทย์’ นั่งประธานสภานิสิตจุฬาฯ