วันจันทร์, พฤษภาคม 29, 2560

ระเบิดเพื่อให้เลื่อนเลือกตั้ง ? : วงค์ ตาวัน





ระเบิดเพื่อให้เลื่อนเลือกตั้ง ? : วงค์ ตาวัน


ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2560
คอลัมน์ ชกคาดเชือก

28 พฤษภาคม พ.ศ.2560


จับจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวถึงผลกระทบหลังเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ทำนองว่า ถ้าบ้านเมืองยังอยู่กันแบบนี้ มีการวางระเบิด มีการใช้อาวุธสงคราม มีการทำให้เกิดความขัดแย้ง

แล้วจะเลือกตั้งกันได้หรือไม่

“เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางตามมาทันทีว่า ผลสะเทือนจากแรงระเบิดดังกล่าว ซึ่งอันที่จริงวางตั้งแต่ที่หน้ากองสลากเก่า หน้าโรงละครแห่งชาติ ก่อนจะมาถึงโรงพยาบาลในสังกัดของกองทัพบก มีอิทธิฤทธิ์ถึงการเลื่อนการขยับวันเลือกตั้งได้เลยทีเดียว”

ความจริง มีผู้วิเคราะห์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า กลุ่มที่วางระเบิดสร้างความปั่นป่วนให้บ้านเมืองในห้วงนี้ น่าจะเป็นกลุ่มที่ไม่ต้องการให้วันเลือกตั้งเกิดขึ้นรวดเร็ว

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาพูดย้ำอีกด้วยตัวเองเช่นนี้

“ประเด็นนี้จึงมีน้ำหนักน่าสนใจมาก ว่าผู้ที่วางระเบิดน่าจะหวังผลยืดวันเลือกตั้ง ทำให้ต้องคิดต่อไปว่า แล้วมีกลุ่มไหนบ้างที่เข้าข่ายนี้!?”

แต่อย่าเพิ่งไปมอง คสช. หรือรัฐบาลในแง่ร้าย

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เน้นย้ำถึงเบื้องหลังระเบิดรุนแรงครั้งนี้ว่า

“”อย่าไปบิดเบือนว่ารัฐบาลเป็นคนทำเอง ไม่มีรัฐบาลบ้าที่ไหนทำ””

เป็นการประกาศชัดเจนว่า อย่ามากล่าวหากัน ฝ่ายรัฐไม่ได้ทำเองแน่

ระดับนายกฯ ระดับหัวหน้า คสช. พูดเอง ก็คงต้องเชื่อ

ขณะเดียวกัน ที่น่าเชื่ออีกประการก็คือ ผลจากการวางระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเลือกวันก่อเหตุครบ 3 ปีรัฐประหาร คสช. พอดี และเลือกที่จะวางในโรงพยาบาลที่เป็นของทหาร แถมตูมสนั่นหน้าห้องวงษ์สุวรรณอีกด้วย

“ต้องนับเป็นระเบิดฉีกหน้า คสช. เป็นระเบิดที่ดิสเครดิตรัฐบาลทหาร”

ดังนั้น ผู้ลงมือน่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม คสช. มากกว่า

“แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายตรงข้าม คสช. ที่ต้องการให้มีผลปั่นป่วนเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปด้วย”

ฝ่ายตรงข้าม คสช. นั้น อันดับแรกเลย ต้องพูดถึงเครือข่ายทักษิณ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มมวลชนเสื้อแดง ต้องมองกันว่า พวกนี้จะวางระเบิดเพื่อต้องการให้ปั่นป่วน จนกระทั่งเกิดผลดังที่นายกฯ เตือนว่า ถ้าไม่สงบแล้วจะเลือกตั้งได้หรือไม่

จะเห็นได้ว่า พรรคเพื่อไทย และ นปช. นั้น แสดงท่าทีชัดเจนว่า พร้อมร่วมมือกับ คสช. ทุกอย่าง จะให้ปรองดองก็ปรองดอง ให้สงบเสงี่ยมอย่าได้เคลื่อนไหว ก็สงบปากสงบคำเรียบร้อยกันหมด

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาหลังรัฐประหาร ไม่มีการแสดงแข็งข้อเชิงแข็งกร้าวจากทักษิณ เพื่อไทย และเสื้อแดงเลย

“โดยประกาศชัดเจนด้วยว่า ทำทุกอย่างเพื่อให้คณะทหารคืนประชาธิปไตยแก่สังคมไทยโดยเร็ว เพื่อไปถึงวันเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด!”

ท่าทีเช่นนี้ ยังรวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น ประชาธิปัตย์

ทุกพรรคล้วนแสดงความพร้อมเมื่อจะเข้าสู่ปีที่โรดแม็ปกำหนดว่าจะมีเลือกตั้ง

พรรคการเมือง นักการเมือง หรือกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหวการเมืองสายเพื่อไทย ล้วนมุ่งมั่นจะให้มีเลือกตั้งเร็วที่สุด

“ดังนั้น จึงถือเป็นฝ่ายตรงข้าม คสช. ที่ไม่ต้องการให้วันเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป”

เมื่อตัดผู้ต้องสงสัยเป็นมือระเบิด ทั้งฝ่าย คสช. เองออกไป

ตัดพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อไทยและเสื้อแดงออกไป เพราะชัดเจนว่ายอมทุกอย่างโอนอ่อนทุกอย่างเพื่อให้มีเลือกตั้ง

“แล้วจะเหลือฝ่ายไหนอีกที่อยู่ในข่าย!?!”


จะเห็นได้ว่า มีกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง ที่ร่วมปูทางให้เกิดรัฐประหารบางส่วน แสดงออกชัดเจนว่า ยังไม่อยากให้มีเลือกตั้ง

อยากให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไปยาวนาน เพื่อทำการปฏิรูปให้บรรลุเป้าหมายก่อน แล้วค่อยมีเลือกตั้งก็ได้

ขณะเดียวกัน ในกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองที่สนับสนุนการรัฐประหารนี้ บางส่วนก็เกิดอาการอกหัก

ผิดหวังว่ารัฐบาลทหารที่เข้ามาปกครองบ้านเมือง หลังจากที่พวกตนทุ่มเททุกอย่างเพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งไปแล้ว เพื่อหยุดประชาธิปไตยลงจนได้แล้ว

รัฐบาลทหารกลับไม่สนองตอบสิ่งที่พวกนี้คาดหวังในหลายประเด็น

“บางรายยังถึงกับช็อกที่ตนเองไม่ได้อะไรเลย แถมยังต้องเผชิญชะตากรรมรุนแรงในชีวิตอย่างหนัก”

กลุ่มที่เชียร์ให้ประยุทธ์อยู่ยาวๆ ยังไม่ต้องเลือกตั้ง รวมถึงกลุ่มที่อกหักจากคณะรัฐประหารนี่แหละ

ที่น่าจับตามองที่สุด

กลุ่มไหนที่ไม่พอใจรัฐบาลทหาร หรือไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง แล้วสามารถเชื่อมโยงกับผู้ที่มีศักยภาพในการประกอบระเบิดและวางระเบิด

น่าจะตกอยู่ในสายตาของฝ่ายสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดมากที่สุด!

การลอบวางระเบิด เป็นคดีในประเภทที่มีสถิติจับกุมได้ค่อนข้างน้อย เพราะลักษณะการก่อเหตุ เอื้ออำนวยให้คนลงมือไม่ต้องอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุเมื่อระเบิดทำงาน จึงยากจะมีประจักษ์พยานมองเห็น ต่างกับคดีประเภทที่ใช้อาวุธปืน หรืออาวุธที่คนลงมือต้องอยู่ตรงจุดเกิดเหตุ

แถมแรงระเบิดจะทำลายล้างวัตถุพยานจนไม่เหลือหลออีกด้วย

แต่คดีระเบิดที่สามารถจับกุมได้ก็มีอยู่

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีกล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายในช่วงที่นำระเบิดมาวางเอาไว้ก่อนได้”

เช่น คดีระเบิดที่ศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2558 ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขณะเป็น รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าทีมสืบสวน เริ่มคลำพบร่องรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิด ที่เห็นชายลักษณะแขกขาว สะพายเป้มาวางเอาไว้ แล้วเดินออกไป ก่อนจะเกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหวจากจุดที่วางเป้ดังกล่าว

“เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สามารถแกะรอยคนที่นำระเบิดมาวาง แล้วใช้เทคโนโลยีชั้นสูงติดตามจนได้ตัวในที่สุด พบว่าเป็นมือระเบิดข้ามชาติ เป็นกลุ่มอุยกูร์ที่โกรธแค้นการส่งตัวผู้อพยพหลบหนีกลับไปจีนนั่นเอง”

คดีระเบิดบอสตันมาราธอน เมื่อปี 2556 ซึ่งเป็นคดีดังทั่วโลก และเอฟบีไอคลี่คลายได้รวดเร็ว เพราะการนั่งดูภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ แล้วเห็นว่าขณะที่ผู้คนวิ่งหนีตายกันอลหม่านเมื่อระเบิดทำงาน กลับมีชายคนหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ เดินอย่างไม่ตกอกตกใจอะไร เป็นจุดเริ่มต้นที่พบคนต้องสงสัย

เมื่อไล่ภาพจากกล้องอื่นๆ ก็ชัดเจนว่า มาด้วยกัน 2 คน สะพายเป้เดินเข้ามาปะปนกับฝูงชน แล้วเอาเป้วางเอาไว้ ก่อนเดินจากไป เมื่อระเบิดทำงานคร่าชีวิตผู้คน ชายทั้งสองเดินอย่างไม่ตื่นตระหนก และไม่มีเป้บนหลังอีกแล้ว

“จึงเห็นได้ว่า กล้องวงจรปิดเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างมาก”


กรณีระเบิด 3 ลูกเขย่าเมืองกรุงล่าสุดนี้ ที่หน้ากองสลากเก่า หน้าโรงละครแห่งชาติ พบว่าเป็นจุดที่กล้องวงจรปิดส่องไม่ถึง

กรณีระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พบว่ากล้องวงจรปิดในโรงพยาบาลใช้การไม่ได้หลายกล้อง คงเพราะไม่คาดคิดว่าสถานที่อย่างโรงพยาบาลจะมาเกิดเหตุร้ายแรง จึงไม่ได้ซ่อมแซมเอาไว้ก่อน

ดังนั้น การที่ กทม. มีคำสั่งให้ทุกเขต ระดมตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ทั่วทุกมุม เพื่อให้มีประสิทธิภาพใช้การได้ น่าจะช่วยให้การสอดส่องหาร่องรอยคนร้ายได้ หากเกิดเหตุอีก

ประกอบกับตำรวจนครบาลเอง มีโครงการจะปฏิวัติกล้องวงจรปิดครั้งใหญ่ โดยทุ่มงบประมาณเพื่อจัดซื้อกล้องรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงหลายล้านฟิกเซล และรวมศูนย์ไว้ที่วอร์รูมของตำรวจ

“เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะเพิ่มหูตาในการหาตัวคนร้ายต่อไปในอนาคต”

แต่เหนืออื่นใด บทเรียนของสังคมไทยบอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ระเบิดการเมืองเกิดขึ้นมายาวนาน แต่เกิดเป็นช่วงๆ

“ระเบิดการเมืองจะทำงานถี่ยิบ ก็เฉพาะช่วงที่การเมืองมีสภาพอึมครึม มีความขัดแย้งในกลุ่มอำนาจรุนแรง”

ถ้าหากคลี่คลายการเมืองให้ไปสู่ระบบปกติเมื่อไร การลอบวางระเบิดทางการเมืองก็จะซาไปด้วย

ดังนั้น การเมืองระบบเปิด คือการปิดทางพวกชอบเล่นใต้ดินได้ดีที่สุด!