วันพฤหัสบดี, มีนาคม 16, 2560
อภินิหารของกฎหมาย "ตบทรัพย์" ยุค คสช. เป็นใหญ่
เรื่องกฎหมายจะมีอภินิหารหรือเปล่าต้องดูว่าสื่อที่เอามาเล่าสีอะไร
ถ้าเป็นค่ายเนชั่นเขาบอกว่า “การดำเนินการเรื่องนี้รัฐบาลใช้กฎหมายปกติในการดำเนินการ และปฎิเสธว่าไม่ได้ใช้อภินิหารของกฎหมายแล้วทำให้รัฐได้เปรียบ”
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเขียนถึงการชี้แจงของนายวิษณุ เครืองาม กรณีความพยายามเรียกเก็บภาษีย้อนหลังกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่กองทุนเทมาเส็กโฮลดิ้ง เมื่อปี ๒๕๔๙
“นายวิษณุกล่าวว่ากรมสรรพากรได้มารายงานความคืบหน้าการประเมินภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยกรมสรรพากรจะประเมินภาษีก่อนหมดอายุความในวันที่ ๓๑ มี.ค.”
(http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/745412)
ส่วนเครือมติชนรายงานข่าวเดียวกันว่า นายวิษณุ รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย กล่าวถึงความคืบหน้าของขั้นตอนการเรียกเก็บภาษีกับนายทักษิณ ชินวัตร “ว่าในวันนี้นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้มารายงานขั้นตอนในการออกใบประเมินภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ป”
“รวมถึงการชี้แจงว่าเป็นอภินิหารทางกฏหมาย เพราะเจอช่องทางที่สมควรจะเสี่ยงดูในเรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลได้เปรียบ”
“นายวิษณุกล่าวด้วยว่า จะไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าทำไมจึงไม่ดำเนินการกับคดีนี้ เพราะกระทรวงคลังมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา”
(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_28177)
เรื่องนั้นกรุงเทพธุรกิจมีเพิ่มเติมจาก ‘แหล่งข่าว’ “ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำให้รัฐเสียหายตามมาตรา ๑๕๗ ของกฎหมายอาญา ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้รัฐเสียหาย
จะดำเนินคดีกับบุคคลที่อยู่ในช่วงของการประเมินภาษีในคดีนี้” โดยระบุตัวบุคคลไว้เลยจะแจ้งว่า “ทั้งนี้ นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร เป็นผู้เซ็นอนุมัติไม่ยื่นอุทธรณ์ในคดีนี้ และเป็นคนเซ็นยุติเรื่องการประเมินภาษี...
ทั้งๆ ที่น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้แทงหนังสือให้กรมสรรพากรดำเนินการต่อคดีนี้ต่อไปก่อนที่จะหมดอายุความ”
เรื่องอายุความนี่ ใครที่ตามข่าวนี้ทราบดีว่ากรมสรรพากรบอกว่าหมดอายุความ ๕ ปีไปแล้ว แต่ สตง. แยงว่าต้องใช้ลูกเล่นมาตรา ๖๑ จะได้อายุความ ๑๐ ปี ซึ่งจะหมดในวันที่ ๓๑ มีนาคม ให้สรรพากรเร่งมือฟันเสียก่อน
การนี้ ‘แหล่งข่าว’ ค่ายเนชั่นในสรรพากร ‘เปิดเผย’ ว่าจะใช้วิธีการออกหมาย ‘เรียกเก็บ’ (ไม่ใช่ ‘หมายศาล’ ให้มาจ่าย) หนำซ้ำ
“หากยังไม่มีการชำระตามที่กำหนดไว้ ทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรก็มีหน้าที่สืบทรัพย์ของผู้เสียภาษีว่ามีอยู่ที่ไหนบ้าง และขายทอดตลาดเพื่อนำมาชำระภาษี”
ทางด้านมติชนมีการเสนอความเห็นของนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ นักกฎหมายระดับปริญญาเอกเช่นเดียวกับนายวิษณุ ยืนกรานว่า “การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ต้องเสียภาษี”
แต่ว่ายุคนี้ คสช. เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แถมขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จแปรพระราชฐานไปมูนิคอีกแล้วด้วย
จึงปรากฏโฆษกห่านอูออกมาแถลงถึงกลเม็ดเด็ดพราย ว่า “มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่”
โดยที่ “เมื่อปี ๒๕๕๕ ศาลภาษีอากรกลางตัดสินไว้แล้วว่า นายพานทองแท้และน.ส.พินทองทา ชินวัตร เป็นนอมินีของนายทักษิณ ไม่ใช่ตัวการสำคัญ
ดังนั้นการออกหมายเรียกทั้งคู่ในตอนนั้นจึงเหมือนเป็นการออกหมายเรียกนายทักษิณแล้ว จึงให้เดินหน้าเรียกเก็บภาษีดังกล่าว”
(http://www.posttoday.com/analysis/politic/485475)
ภายในครึ่งเดือนจากนี้ กรมสรรพากรจะจัดการประเมินอัตราภาษีออกมาแถลง ซึ่งก็มีตัวเลขกันอยู่แล้ว (จากคดีนอมินีเดิม เอามาเปลี่ยนชื่อผู้จ่ายเป็นนายทักษิณ) ว่าตกอยู่ราวๆ ๑ หมื่น ๖ พันล้านบาท เหนาะๆ
อัน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด คาดหมายไว้แล้ว “เชื่อมั่นว่าภายในระยะเวลา ๑๖ วันที่เหลือ นายทักษิณเขาคงไม่มาเสียภาษีอีก แต่ไม่เป็นไร
ในเมื่อเขาไม่มา ถือว่าระยะเวลาได้หยุดลงก่อนที่จะครบอายุความ ๑๐ ปีในวันที่ ๓๑ มี.ค.นี้ จากนั้นจะดำเนินการฟ้องร้องต่อไป ข้อสรุปจะเป็นอย่างไรไปสู้กันใน ๓ ศาล”
ว้าว นี่ไม่ใช่แค่อภินิหารของกฎหมายเท่านั้นนะ ยังมีอำนาจวิเศษศาลไทยบันไดสามขั้นอีกด้วย ที่ในยุค คสช.ครองเมืองอยู่นี่ จะเห็นศาลฎีกาพลิกผันคำตัดสินของบันไดสองขั้นข้างล่างบ่อยครั้ง จนบางทีมีเสียงครางว่ากีฬาสีมีจริง
ลงท้ายการคุ้ยคดีเก็บภาษีย้อนหลังทักษิณขึ้นมานี่ ใช่ว่าจะตบทรัพย์อย่างเดียวกับคดีจำนำข้าวที่ฟ้องยิ่งลักษณ์น้องสาวทักษิณหรอกนะ เงินไม่ได้ไม่เป็นไร ให้รู้ฤทธิ์เดชตลาการศาลไทยกันไว้จงดี