ผมเชื่อว่าน้อยคนที่สนใจการเมืองจะไม่รู้จักนายวีระ
สมความคิด นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งผมขอให้สมญานามว่า ‘3 นักร้องผู้ยิ่งใหญ่แห่งทศวรรษ’
เพราะทั้ง 3 คนนี้ได้จุดประเด็นที่ได้เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่สำคัญในหลายประเด็น
หลายคนอาจจะไม่ชอบเขาด้วยเหตุแห่งอคติที่ใช้มองจากแว่นต่างสี หลายคนกล่าวหาพวกเขาว่า
‘อยากดัง’
ซึ่งผมกลับเห็นว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นได้ยืนยันความเชื่อของผมที่มีมาโดยตลอดว่า สังคมต้องมีคนแบบนี้บ้าง
เพื่อมิให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจตามอำเภอใจ
เรามารู้จักกับนักร้องทั้ง 3 คน กันดีกว่าครับ
1.นายวีระ สมความคิด
วีระจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
จบปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปัจจุบันเป็นเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน
วีระเป็นลูกศิษย์ที่เหนียวแน่นของสมณะโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก วีระเข้าร่วมการชุมนุมขับไล่ทักษิณ
ชินวัตร ให้ออกจากตำแหน่ง ใน พ.ศ. 2549 และร่วมการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ใน ปี 2551
เมื่อปี 2549
วีระได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
(คตส.) กรณีทักษิณ ชินวัตร กระทำความผิดตามกฎหมาย ปปช. มาตรา 100
ซึ่งต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุกทักษิณเป็นเวลา
2 ปี
วีระถูกจับกุมตัวที่ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อวันที่
29 ธันวาคม 2553 พร้อมกับพวกจำนวน
7 คน รวมทั้งพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
ต่อมาศาลกัมพูชาให้ประกันตัวผู้ถูกจับกุม 5 คน ยกเว้นวีระกับราตรี
ศาลกัมพูชามีคำตัดสินในวันเดียวกันให้จำคุกวีระและราตรีในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
บุกรุกเขตทหาร และจารกรรมข้อมูล เป็นเวลา 8 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ โดยไม่รอลงอาญา
ต่อมาในวาระพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอดีตพระมหากษัตริย์
พระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ
รัฐบาลกัมพูชาได้ขอพระราชทานอภัยโทษและปล่อยตัวราตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556
และลดโทษวีระลง 6 เดือน เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน และต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2557
วีระก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
หลังจากนั้นวีระก็มีบทบาทสำคัญในการแสดงความเห็นต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบมาโดยตลอด
จนล่าสุดเมื่อวีระได้โพสต์การทำโพล 8
ข้อเพื่อวัดว่าประชาชนเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและนายกประยุทธ์หรือไม่
แล้วสรุปผลว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลและนายกฯ
ซึ่งต่อมาศาลอาญารัชดาภิเษกได้ออกหมายจับข้อหานำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอมฯ
ซึ่งนายวีระก็ได้ประกาศต่อสาธารณะว่าตำรวจไม่ต้องตามไปจับ เขาจะไปพบพนักงานสอบสวนเองในวันที่
15 มี.ค. 60
นี้พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงไม่มีการออกหมายเรียกก่อนจึงค่อยออกหมายจับ
2.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
เรืองไกรจบการศึกษาปริญญาโทบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และปริญญาตรีบริหารธุรกิจ (การบัญชี) มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยทำงานเป็นผู้อำนวยการอาวุโสสำนักตรวจสอบภายใน
บจม.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี
เรืองไกรเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกของสังคมด้วยการปรากฏเป็นข่าวในต้นปี
2549 ว่ากรมสรรพากรได้คืนเช็คให้แก่นายเรืองไกร แต่นายเรืองไกรไม่ได้ไปขึ้นเงิน
เพราะเป็นกรณีเปรียบเทียบกับกรณีที่กรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปได้
ซึ่งนายเรืองไกรซื้อหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพ
จำกัด (มหาชน) ต่อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท ต้องเสียภาษี
แต่กรณีของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์กลับไม่ต้องเสียภาษี
และเรืองไกรยังได้ยื่นฟ้องร้องเรื่องการที่กรมสรรพากรกระทำการนี้โดยสองมาตรฐานอีกด้วย
หลังจากนั้นเรืองไกรได้สมัครลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร
เมื่อ 19 เมษายน 2549 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาเรืองไกรได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในแบบสรรหา
เมื่อ 2 มีนาคม 2551
หลังจากนั้น
ชื่อของเรืองไกรปรากฏเป็นข่าวอีกในเดือนพฤษภาคม ว่าได้ยื่นฟ้องร้อง สมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี ว่าการจัดรายการโทรทัศน์ชิมไป บ่นไป ทางช่อง 3
เป็นการผิดรัฐธรรมนูญในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้สมัครพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อ 9 กันยายน ปีเดียวกัน
จากเหตุการณ์การตรวจสอบการกระทำของภาครัฐอันมิชอบหลายกรณีนี้
ทำให้เรืองไกรได้รับฉายาว่า ‘แจ็คผู้ฆ่ายักษ์’ แต่ในกลางกุมภาพันธ์ 2553 เรืองไกรที่เคยมีท่าทีว่าเป็นผู้ตรวจสอบทักษิณและพรรคพวกมาโดยตลอด
กลับไปร่วมเสวนากับทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
หลายต่อหลายครั้ง
ปัจจุบันเรืองไกรเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ทำให้ภายหลังรัฐประหาร
2557 คสช.ได้ออกคำสั่งเรียกเขาไปรายงานตัวที่สโมสรทหารบก
จวบจนปัจจุบันเรืองไกรก็ยังปรากฏเป็นข่าวโดยตลอดมาเกี่ยวกับการติดตามตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย
3.นายศรีสุวรรณ จรรยา
ศรีสุวรรณจบการศึกษาปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ และปริญญาโทสาขาจัดการสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันเป็น เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
ศรีสุวรรณมีผลงานโดดเด่นมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นนายกสมาคมต่อต้านโลกร้อน
ที่ฟ้องศาลปกครองระยองกรณีโรงงานอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด
และตามด้วยการฟ้องร้องและร้องเรียนอีกหลายเรื่อง อาทิ
การยื่น ป.ป.ช. เอาผิด 7
สนช.-พรเพชร-วรารัตน์ ส่อทุจริตต่อหน้าที่ปมโดดประชุม, ยื่นสอบ รมว.กลาโหมใช้งบฯ 20.9
ล้าน บินฮาวาย, ร้อง ป.ป.ช. สงสัยลูกชาย ‘บิ๊กติ๊ก’
ใช้อำนาจพิเศษประมูลงานกองทัพ, ร้องผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีตึกมหานครใช้ต่างด้าวออกแบบผิดกฎหมาย,
ร้อง ป.ป.ช.เอาผิด กกต.ประชามติไม่แฟร์ ปล่อยคสช.ปิดกั้น-ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม, ค้าน ‘ทางหลวง’ ตัดไม้ริมทาง 500 ต้น, ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง
คดีรัฐบาลยิ่งลักษณ์กรณีการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ฯลฯ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงผลงานส่วนหนึ่งของทั้งสามคนเท่านั้น
บางคนอาจจะชอบบางคนอาจจะไม่ชอบ แต่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็น ‘3 นักร้องผู้ยิ่งใหญ่แห่งทศวรรษ’ ที่มีคุณูปการแก่สังคมไทยที่ต้องการผู้กล้าเป็นอย่างยิ่งครับ
---------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
15 มีนาคม 2560