วันจันทร์, สิงหาคม 01, 2559

วิตกจริตมากขนาดนี้..รับกาแฟ สักแก้วมั้ยครับ?





ออกอาการ!? 

On August 1, 2016

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

โลกวันนี้

ยิ่งใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 สิงหาคมมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นปฏิกิริยาที่เกิดจากอาการกลัวและหวั่นไหวของรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองที่เกี่ยวข้องทุกระดับทุกพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลและ คสช. สั่งให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มป่วนประชามติ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน หรือแม้กระทั่งลิง จนเป็นข่าวไปทั่วโลกและเป็นตลกร้ายการเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของไทย อย่างที่เว็บไซต์ “ประชาไท” พาดหัวข่าวว่า “โปรดเก็บบัญชีผู้มีสิทธิลงประชามติไว้ไกลมือเด็ก ลิง แดด ฝน”

สอบถึงใครโดนหมด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการฉีกทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติว่า ต้องดูที่ความมุ่งหมายว่าฉีกเพื่ออะไร ใครฉีก ลิงหรือเด็ก แล้วจะจับลิงกับเด็กหรือไม่ ซึ่งไม่มีทาง ต้องพูดเรื่องที่มีหลักฐาน หรือจะหาว่ารัฐบาล คสช. ทำ ที่เจอจดหมายเป็นปึกๆ ตอนนี้กำลังสอบอยู่ เห็นอยู่ว่ามีการต่อต้าน ถ้าสอบถึงใครคนนั้นโดนหมด ขณะนี้กำลังสอบอยู่ ทำตอนไหนก็โดนตอนนั้น ทำตอนนี้โดนตอนนี้ ทำหลังจากนี้ก็โดนหลังจากนี้ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของรัฐบาลและ คสช. อยู่แล้ว ตราบใดที่ยังมีคนแบบนี้อยู่ สื่อก็ยังขยายอยู่ ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น อย่าคิดอะไรมาก

ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมจับกุม 5 นักการเมืองภาคเหนือที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังป่วนประชามตินั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่รู้ว่านักการเมือง 5 คนนี้คือใคร ไม่รู้จักสักคน ต้องรอให้มีการสอบสวนก่อน สอบถึงใครก็จับหมด ถ้าเกี่ยวข้องมีหลักฐานก็ต้องถูกดำเนินคดี จากนั้นก็ไปสู้คดีกัน หากไม่ทำผิดก็ไม่สามารถทำอะไรได้

จับเด็ก-เยาวชนดำเนินคดี

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง อยู่ในอาการผวาและเต้นเป็นเจ้าเข้า เพราะหากพื้นที่ใดเกิดการป่วนการลงประชามติจริง หรือแค่ฉีกทำลายประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติแล้วจับไม่ได้ หรือไม่ทราบสาเหตุก็อาจถูกเด้งได้ง่ายๆ อย่างกรณี พ.ต.อ.อิทธิ ชำนาญหมอ ผกก.สภ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร ถูกย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิมตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2559

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จับกุมเด็กนักเรียนหญิงอายุ 8 ขวบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวชิรสารศึกษา จ.กำแพงเพชร จำนวน 2 คน ฉีกประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติที่ปิดไว้ภายในบริเวณโรงเรียน เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งเด็กทั้งสองรับสารภาพว่า เห็นว่าสีสวยเลยดึงมาฉีกเล่น จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาทำให้เสียทรัพย์และดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ พ.ต.อ.อิทธิ เจ้าของพื้นที่ ไม่ได้รายงานให้ พล.ต.ท.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 (ผบช.ภ.6) ทราบ จนกระทั่งสื่อมวลชนรายงานข่าว จึงมีคำสั่งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อบกพร่องดังกล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงเด็กหญิงอายุ 8 ขวบ 2 คนว่า แม้ก่อเหตุขึ้นโดยไม่มีเจตนา แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ก็ตั้งข้อหาทำให้เสียทรัพย์ไว้ก่อน แม้เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ไม่ต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามขั้นตอน เพื่อไม่ให้เกิดการทำผิดกฎหมายของประชาชนอีก

กรณีการฉีกทำลายประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติยังมีอีกหลายแห่งที่เกิดจากเด็กและเยาวชน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองคือ เด็กนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.2 จำนวน 4 คน ที่ ต.ชากพง อ.แกลง จ.ระยอง ชวนกันมาเล่นในช่วงวันหยุดวันที่ 23 กรกฎาคม บริเวณศาลาอเนกประสงค์ซึ่งใช้เป็นหน่วยออกเสียงประชามติ และฉีกกระดาษบนกระดานที่หน่วยเลือกตั้ง 3 ใบ โดยคิดว่าเป็นกระดาษเก่า แล้วฉีกทิ้งริมคลอง และมีการจุดไฟเผากระดาษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านกร่ำได้นำตัวเด็กนักเรียน 2 คนที่ให้การรับสารภาพ ไปส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระยอง

วันที่ 25 กรกฎาคม เด็กชายวัย 9 ขวบ ฉีกประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ หน่วยเลือกตั้งที่ 7 ศาลาอเนกประสงค์ ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด

วันที่ 25 กรกฎาคม นักศึกษาระดับชั้น ปวช. อายุ 16 ปี ที่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ซึ่งขี่รถจักรยานยนต์ตั้งใจจะมารับแฟนในหมู่บ้าน แต่ฝนตกหนักจึงเข้าไปหลบภายในศาลาซึ่งเป็นหน่วยเลือกตั้งที่ 36 ที่จะใช้ลงประชามติ เนื่องจากโดนยุงกัดเยอะจึงฉีกแผ่นเอกสารรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติมาเผาจุดไล่ยุง โดยไม่ทราบว่าเป็นเอกสารสำคัญของทางราชการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เด็กไร้ค่าเกินกว่าจะเหลียวมอง

การกระทำผิดของเด็กและเยาวชนดังกล่าวเห็นชัดเจนว่าล้วนเป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่กลับถูกดำเนินคดี ทำให้ประชาชนและสังคมออนไลน์ต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่หรือไม่ ทั้งที่ควรตำหนิเจ้าหน้าที่ด้วยซ้ำที่ติดประกาศรายชื่ออย่างไม่รอบคอบ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกไม่ดีกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นความกลัวและหวาดผวาของเจ้าหน้าที่มากกว่า โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อความรู้สึกและอนาคตของเด็ก ยิ่งเปรียบเทียบกับกรณีม็อบนกหวีดที่ไปปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งเพื่อขัดขวางการเลือกตั้งแต่กลับไม่มีความผิด หรือการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญยังนิรโทษกรรมให้ตัวเอง ผู้มีอำนาจน่าจะถามตัวเองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ และใครที่ควรถูกดำเนินคดีมากกว่ากัน

นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ถามถึงองค์กรเด็กและผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่ไม่ออกมาปกป้องหรือเคลื่อนไหวในการจับเด็กและเยาวชนอายุ 8-16 ปีครั้งนี้เลยว่า “ครูหยุย” ผู้ทำงานด้านสิทธิเด็กจนได้ดิบได้ดีใน สนช. ทำไมไม่ปกป้องเด็กหญิง 8 ขวบจากกำแพงเพชร เด็ก 9 ขวบจากร้อยเอ็ด และเด็กอีก 3 คนจากระยองและสตูลแม้แต่นิดเดียว เช่นเดียวกับ “องค์กรเด็ก” ที่ปิดปากเงียบเรื่องรัฐดำเนินคดีเด็กเซ่นข่าวป่วนประชามติไปเฉยๆ หรือเด็กกลุ่มนี้ไร้ค่าเกินกว่าผู้ได้ดีจากเด็กจะเหลียวมอง

ลิงแสมยังป่วนประชามติ

ปรากฏการณ์ป่วนประชามติที่เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกคือ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ฝูงลิงป่าเกือบร้อยตัวที่หมู่ 1 ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร ยกฝูงฉีกประกาศบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิลงประชามติซึ่งติดบนศาลาวัดหาดมูลกระบือขาดกระจัดกระจายไปทั่ว ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์พยายามขับไล่และล้อมจับแต่ไม่สำเร็จ จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ใหญ่บ้านพบว่า มีบัญชีรายชื่อเสียหายทั้งหมด 12 แผ่น จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานและรายงานให้ กกต.จังหวัดและฝ่ายปกครองรับทราบว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครมาป่วนแต่อย่างใด

นายประยูร จักรพัชรกุล ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำ จ.พิจิตร และนายสุรชัย มณีประกร นายอำเภอเมืองพิจิตร พร้อมด้วยชาวบ้านต้องแก้ไขโดยร่วมกันนำผลไม้ กล้วย แตงโม ถั่วฝักยาว แตงกวาไปเลี้ยงฝูงลิงเพื่อผูกมิตร และนำประกาศบัญชีรายชื่อชุดใหม่ไปติดใหม่โดยมีกระจกใสป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

นอกจากนี้นายประยูรยังเปิดเผยว่า พล.ต.ต.จรวย ผลประเสริฐ ผบก.ภ.จว.พิจิตร ได้ทำหนังสือถึง กกต.พิจิตรเพื่อสอบถามว่าจะแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ เพราะ กกต.พิจิตรเป็นผู้เสียหาย แต่การแจ้งความดำเนินคดีเป็นอำนาจของ กกต.กลาง ทาง กกต.พิจิตรจะทำหนังสือสอบถาม กกต.กลางเพื่อพิจารณา ซึ่งนายประยูรเห็นว่าลิงแสมเป็นสัตว์ป่า จะเอาผิดลิงได้อย่างไร ตามข้อกฎหมายคำว่า “ผู้ใด” ควรใช้กับคน หากเป็นสัตว์ไม่น่าจะเข้าข้อกฎหมาย จึงไม่รู้ว่าจะไปแจ้งความเอาผิดกรณีอะไรและความเสียหายก็ไม่มาก แค่เอาบัญชีรายชื่อชุดใหม่มาติดใหม่ก็จบ เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีใครมากลั่นแกล้งและไม่มีใครใช้ให้ลิงมาทำแบบนี้

โปรโมตกาแฟ “กาโน” ยังผวา

กรณีฝูงลิงฉีกทำลายประกาศบัญชีรายชื่อและกรณีเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีกลายเป็นข่าวไปทั่วโลกและเป็นตลกร้ายที่สะท้อนถึงการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของรัฐบาล คสช. ซึ่งลุกลามถึงการตรวจค้นกลุ่มบุคคลที่ต้องสงสัยว่าอาจจะป่วนประชามตินั้น ก็ยังไม่พิลึกกึกกือเท่ากับกรณี “ธง” โปรโมตขายกาแฟยี่ห้อ “กาโน” หรือ “GANO”

โดยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เว็บไซต์ข่าวศรีสะเกษรายงานว่า นายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้รับรายงานด่วนจากนายสุรชาติ แก้วศิลา นายอำเภออุทุมพรพิสัยว่า ศูนย์รักษาความสงบ อ.อุทุมพรพิสัยเพื่อสนับสนุนการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบข้อความในกระดาษผูกติดกับไม้ไผ่ลักษณะคล้ายธงจำนวนมากว่า “กาโน” ปักเรียงรายเป็นแถวยาวเต็ม 2 ข้างทางระหว่างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษถึงสี่แยกบ้านสองห้อง หมู่ 8 ต.กำแพง ระยะทางรวม 200 เมตร จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่ตรวจสอบและพบธงกระดาษดังกล่าวจึงเก็บยึดและนำมาตรวจสอบจำนวน 47 อัน เกรงว่าอาจเป็นการก่อกวนสร้างความวุ่นวายการออกเสียงประชามติ เพราะมีคำว่า “กาโน” ที่อาจเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์คล้ายกับ “โหวตโน” ที่ต้องการสื่อความหมายให้ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ

จากการตรวจสอบปรากฏว่า เจ้าหน้าที่กลับหน้าแตกและถูกนำไปล้อเลียนอย่างรวดเร็วในสังคมออนไลน์ เพราะไม่เกี่ยวกับการออกเสียงประชามติแต่อย่างใด แต่เป็นการประชุมของผู้แทนจำหน่ายกาแฟปรุงสำเร็จผสมเห็ดหลินจือยี่ห้อ “กาโน” ของบริษัท กาโนเอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นลักษณะขายตรง ที่ได้นำมาปักไว้เพื่อนำทางผู้เข้าร่วมประชุม ไม่มีเจตนาสร้างความปั่นป่วนใดๆ และไม่ได้มีแค่กาแฟสำเร็จรูป แต่ยังมียาสีฟัน แคปซูลเห็ดหลินจือ และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเห็ดหลินจือ

ยูเอ็นประณามการปิดกั้นเสรีภาพ

นายเดวิด คายย์ ผู้ตรวจสอบพิเศษด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกประจำองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมบุคคลในประเทศไทยจากการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวกับการลงประชามติ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยระบุว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีถึง 86 รายเป็นอย่างน้อยที่ถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นอย่างร้ายแรง

นายเดวิดระบุว่า การลงประชามติโดยทั่วไปต้องมีบรรยากาศที่เปิดกว้างให้มีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง หลากหลาย สามารถแสดงออกได้อย่างเสรี รวมถึงการถกเถียงกันระหว่างความคิดต่างๆ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดการบังคับใช้กฎหมายที่ปิดกั้นดังกล่าวในทันที และยกเลิกข้อกล่าวหาตามคำสั่ง คสช. เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยกำลังจะเป็นสมาชิก

“สดศรี” ชี้เอกสาร กกต. ไม่เป็นกลาง

ขณะที่รัฐบาล คสช. กรธ. และ กกต. กล่าวหาฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในทางลบต่างๆ รวมถึงปลอมแปลงและบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญนั้น เอกสารของ กกต. ที่จัดพิมพ์สรุปสาระสำคัญและเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิลงประชามติก็ถูกวิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่เป็นกลางและบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญเสียเองด้วย โดยนางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ชี้ว่า เอกสารของ กกต. อาจเข้าข่ายผิดมาตรา 9 และมาตรา 10 พ.ร.บ.ประชามติ ที่กำหนดให้ กรธ. เป็นผู้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์เนื้อหาสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ แต่ กกต. ซึ่งต้องดำรงความเป็นกลางทางการเมืองกลับเป็นผู้จัดพิมพ์จุลสารและเผยแพร่เพียงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฝ่ายเดียว ทั้งที่ กกต. มีหน้าที่ชี้แจงประชาสัมพันธ์วิธีการลงประชามติเท่านั้น ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญได้

นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า เอกสารของ กกต. เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง เลือกพูดแต่ข้อดีมีประโยชน์สารพัดที่หลายส่วนเกิดจากการคิดแต่งเติมเอาเอง ไม่ใช่เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ

ในคำอธิบายยังปิดบังข้อเท็จจริงหลายอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ เช่น ไม่พูดถึงนายกฯคนนอก บทเฉพาะกาลที่มีปัญหามากมาย ส.ว. ที่มาจาก คสช. สามารถร่วมพิจารณากฎหมายสำคัญๆได้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่จะทำโดย คสช. และแม่น้ำ 5 สาย ไม่ใช่องค์กรที่มาจากการเลือกตั้ง และที่บอกว่าองค์กรอิสระถูกตรวจสอบได้ก็ไม่ได้บอกว่าผู้ตรวจสอบไม่ใช่ประชาชนหรือองค์กรที่เชื่อมโยงกับประชาชนเลย เป็นต้น

นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการ กกต. ได้ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวว่า กกต. มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะเนื้อหาการชี้แจงกระบวนการออกเสียงประชามติเท่านั้น แต่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญมาจาก กรธ. ส่วนคำถามพ่วงมาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กกต. เพียงรับต้นฉบับมาจัดพิมพ์เท่านั้น

ยิ่งใกล้ยิ่งออกอาการ

ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนลงประชามติ 7 สิงหาคม การต่อสู้ระหว่างฝ่ายรับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็ยิ่งดุเดือดเข้มข้น โดยต่างออกมาประกาศจุดยืน ไม่มีฝ่ายใดแทงกั๊ก และไม่เกรงกลัวทั้ง พ.ร.บ.ประชามติและคำสั่งของ คสช.

โดยเฉพาะกระแสฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าง “เครือข่ายกลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย” ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองจากทุกขั้วทุกสี รวมถึงพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ร่วมกันเรียกร้อง 5 ข้อคือ 1.เปิดให้ประชาชนทุกฝ่ายได้ถกแถลงแสดงความคิดเห็น 2.ทางเลือกต้องชัด หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะยังไงต่อ 3.ถ้าไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญใหม่ต้องให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม 4.หากข้อ 1-3 เกิดขึ้น ทุกฝ่ายต้องยอมรับผลประชามติ และ 5.รัฐธรรมนูญที่จะได้มาต้องเป็นประชาธิปไตย คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ มีระบบตรวจสอบ ถ่วงดุล มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม

ล่าสุดกลุ่มเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) และเครือข่ายองค์กรนิสิตนักศึกษาและประชาชน 43 องค์กร ออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง โดยให้เหตุผลสำคัญ 4 ข้อคือ 1.กระบวนการขาดความชอบธรรม 2.เนื้อหาทำประเทศถอยหลัง 3.ไม่ต้องการฝากอนาคตไว้กับ คสช. 4.หากรัฐธรรมนูญรับแล้วแก้แทบไม่ได้ และยังเรียกร้องให้ คสช. หยุดกดดัน คุกคาม ดำเนินคดีผู้ที่คิดต่าง เพื่อให้การลงประชามติเป็นไปอย่างเปิดเผยและยุติธรรม

สิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุด

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติราษฎร์ และอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวตอนหนึ่งในปาฐกถาที่จัดโดย 43 องค์กรว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ผิดหวัง รู้สึกว่ากระบวนการที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตยดูยาวนาน แต่ทุกอย่างไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ถ้าใครเหนื่อยก็พัก ไม่มีใครว่าอะไร หายเหนื่อยก็กลับมาสู้ ขออย่างเดียวขอให้อุดมการณ์ประชาธิปไตย การปกครองโดยกฎหมายที่เป็นธรรม โชติช่วงอยู่ในใจของผู้รักประชาธิปไตยทุกคน

“สิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุดก็คือไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่ในใจของทุกคนที่ดับไม่ได้ เผด็จการทั้งหลายในโลกนี้ไม่ว่ามีลักษณะอย่างไร จะฉาบเคลือบด้วยเสื้อคลุมแบบไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาชอบคือ ความหวังของผู้คนที่ใฝ่หาเสรีและประชาธิปไตยมอดดับลง ตราบเท่าที่ความหวังในหัวใจของคนรักประชาธิปไตยทั้งหลายยังโชติช่วงอยู่ แสดงออกได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จิตใจยังมั่นคงอยู่เสมอ วันหนึ่งเผด็จการจะรู้ว่าเขาดับไฟในใจของทุกคนไม่ได้ และเมื่อถึงเวลาที่ไฟในใจของแต่ละคนรวมกัน วันนั้นคือวันที่ผมเชื่อว่าเราจะมีประชาธิปไตย มีกฎหมายที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง”

นายวรเจตน์กล่าวและย้ำทิ้งท้ายว่า “ขอเป็นกำลังใจให้ผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง เพื่อคนรอบข้าง เพื่อลูกหลานเรา ที่จะได้มีสังคมที่ดีงาม เป็นสังคมที่มีอนาคตต่อไป”

ออกอาการวิตกจริต?

ท่ามกลางการใช้อำนาจตรวจสอบแบบปูพรมแทบทุกพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ กลับทำให้ฝ่ายไม่รับร่างรัฐธรรมนูญยิ่งคึกคักและเป็นพลังที่น่ากลัว เพราะองค์กร กลุ่มการเมือง นักศึกษา นักวิชาการ และภาคประชาสังคมนั้นมีทุกขั้วทุกสี ซึ่งไม่ได้แค่สะท้อนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น แต่สะท้อนถึงกระแสไม่เอา คสช. อีกด้วย

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. วันนี้ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ โดยกล่าวผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตอนหนึ่งถึงการลงประชามติว่า “หากผ่านบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ส่วนที่มีคนพูดว่าอยากให้ลุงตู่อยู่ไปอีกก็ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปล่อยข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ลุงตู่จะยิ่งไปเร็ว เพราะคนเหล่านั้นจะเดินขับไล่ หากไม่ผ่านกระบวนการต่างๆจะรวนไปทั้งหมด”

แม้แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีนายวรเจตน์ที่พูดถึงการลงประชามติว่าถ้าไม่รับก็กาในช่องขวามือคือ ช่องไม่เห็นชอบ บังเอิญตนเป็นคนถนัดขวาก็จะกาทางด้านขวามือว่า อาจจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 61 นั้น ก็ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการชี้นำ กกต. ให้เอาผิดนายวรเจตน์หรือไม่ และเหมาะสมหรือไม่ที่นายวิษณุพูดเช่นนั้น ซึ่งไม่มีหน้าที่ตัดสินว่าใครกระทำผิดหรือถูก

ยิ่งใกล้วันลงประชามติมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นการต่อสู้ที่รุนแรง และการใช้อำนาจต่างๆของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่ใช่เพื่อความสงบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ถูกมองว่ามีลักษณะขู่กรรโชก กดดัน และหลอกล่อสารพัด

โดยเฉพาะกระแสไม่รับร่างรัฐธรรมนูญยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นอาการกลัว หวาดวิตก และปรากฏการณ์ที่ไม่คาดว่าจะเกิดก็เกิด

กลัวกระทั่งเด็ก ลิงแสม และธงโปรโมตขายกาแฟ!!

วิตกจริตมากขนาดนี้..รับกาแฟ (กาโน) สักแก้วมั้ยครับ?