วันอังคาร, สิงหาคม 23, 2559

ถ้าบิ๊กตู่ได้เป็นนายกฯ คนนอก สมใจพวกบริวาร จะเอา ‘ผักตบ’ หรือ ‘สากกะเบือ’





เรื่องอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าบิ๊กตู่ได้เป็นนายกฯ คนนอก สมใจพวกบริวาร จะเอา ‘ผักตบ’ หรือ ‘สากกะเบือ’ ล่ะ

ผักตบ หรือชื่อเต็มๆ ผักตบชวา (เพราะมาจากอินโดนีเซีย) ที่เราเห็นกันดารดาษบนผืนน้ำในประเทศไทย มันโตไว ขยายเร็วเสียจนเป็นพืชต้องห้ามตามกฎหมาย

“ประยุทธ์บอกบ้านไหนมีผักตบชวาหน้าบ้าน ปรับต้นละ ๑๐๐ บาท”

มี พรบ. กำจัดผักตบชวา ออกมาแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๖ “มาตรา ๗ ผู้ใดพาผักตบชวาเข้าไปในเขตท้องที่ซึ่งใช้ พระราชบัญญัตินี้ก็ดี ปลูกหรือเลี้ยงหรือปล่อยให้ผักตบชวางอกงามในที่ห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ก็ดี หรือเอาผักตบชวาทิ้งลงในแม่น้ำลำคลอง ห้วยหนองใดๆ ก็ดี

ผู้นั้นมีความผิดฐานลหุโทษ ต้องระวางโทษให้ปรับครั้งหนึ่งเป็นเงินไม่เกินกว่า ๑๐๐ บาท หรือจำคุกไม่เกินเดือนหนึ่ง หรือทั้งปรับและจำด้วยทั้งสองสถาน” (จากมติชนสุดสัปดาห์)





ทั่นนายกฯ บ่นว่า “ทำไมต้องให้สั่งทุกเรื่อง” (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)

กลายเป็นที่ฮือฮาว่ายุคบิ๊กตู่ ๑ (ก่อนเลือกตั้ง) เนี่ย ชาวบ้านมีหน้าที่ดูแลไม่ให้ผักตบชวาเต็มแม่น้ำลำคลองด้วย ถึงจะเป็นกฎหมายเก่าหงำเหงือกแต่หัวหน้า คสช. เอามาพูด ไม่รู้จะส่ง ‘ซิก’ ให้ กรธ. เอาไปปรับปรุงเป็นกฎหมายลูกด้วยหรือเปล่า

ก็เลยเกิดการขุดคุ้ยประวัติศาสตร์กันว่าใครหนาเป็นตัวการนำ ‘ผักตบ’ ของ ‘ชวา’ มาทำความเดือดร้อนให้ประเทศไทยจนกระทั่งถึงยุค ‘ยั่งยืน’ ของ คสช.

รายแรกเลย นักประวัติศาสตร์เอก Somsak Jeamteerasakul โพสต์ว่า “เผื่อใครไม่รู้นะครับ "บ้าน" ที่นำผักตบชวาเข้ามาในสยามครั้งแรกคือ ‘วังสระปทุม’ เอามาปลูกเป็น ‘ไม้ประดับ’ พอเกิดน้ำท่วมวังสระปทุม มันเลยหลุดกระจายออกไป”

ต่อด้วย ‘อาณาจักรไบกอน Returns’ มาเสริม “ผักตบชวาสามารถช่วยในการบำบัดน้ำเสีย แต่ผักตบชวาจัดเป็น ‘เอเลี่ยน สปีชี่ส์’ หรือ ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น’ ที่เข้ามาแพร่ระบาดรุกรานจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ในประเทศไทย

มีการแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ใน ๑ เดือนผักตบชวาเพียง ๑ ต้นอาจขยายพันธุ์ได้มากถึง ๑,๐๐๐ ต้น”

ส่วนข้อมูลของ สศจ. มีเพิ่มเติมว่า “วังที่นำเข้ามา ไม่ใช่วังสระปทุม แต่เป็นวังหรือมเหสีองค์อื่นของรัชกาลที่ ๕ แล้วนำไปถวายวังสระปทุมอีกที

ส่วนที่มันถูกกระจายออกไปอย่างไร บ้างก็ว่าพวกเจ้านายหลายคนเห็นแล้วชอบ เลยเอาไปปลูกต่อๆ กัน แล้วก็มีการเอาไปปล่อยในแม่น้ำลำคลองต่างๆ”

ยังมีอีกรายขุดประวัติศาสตร์ละเอียด ว่าวังไหนแน่ที่นำเข้า ‘Phompan Charoenchuang’ แจงว่า “ผักตบชวาเข้ามาสู่ประเทศไทยครั้งแรกโดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ประพาสเกาะชวา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๙

เห็นเจ้านายฝ่ายหญิงของชวาประดับดอกผักตบชวาที่มุ่นมวยผม เห็นว่างามนัก จึงขอพันธุ์ไม้นั้นจากชวา

เจ้าหน้าที่ชวาก็นำผักตบชวาและช่อไม้นั้น ทั้งรากและโคนมาให้ ๓ เข่ง แถมน้ำในบ่อผักตบอีก ๑๐ ปีบ เพื่อเป็นน้ำเชื้อ เพราะกลัวว่าถ้านำมาปลูกในเมืองไทยอาจจะผิดน้ำทำให้ตายได้...

ในระยะแรกๆ เจ้านายฝ่ายในทั้งหลายตื่นเต้นกันมาก เข้ามาทูลขอผักตบชวาไปปลูกกันองค์ละหน่อสองหน่อ ก็โปรดพระราชทานให้ หลังจากใส่กระถางจนเต็ม ร.ท. โดด (นายทหารที่รับสนองพระบัญชาดูแลผักตบชวาระหว่างเดินทาง จนมาถึงท่าราชวรดิฐ) ก็นำลงปลูกในบ่อพระราชวังพญาไท...

ผักตบชวา ก็ออกดอกงอกงาม เจ้านายที่เคยมาทูลขอก็ชักเบื่อ เพราะนำไปปลูกเองก็ขยายพืชพันธุ์แจกได้มากมายไม่แพ้กัน ต้องสั่งให้ ร.ท. โดด หม่องมณี นำผักตบชวาลงปล่อยในแม่น้ำลำคลอง”

จะวังไหน เวอร์ชั่นใดก็ตามแต่ ชาวบ้านค้นพบ the culprits ผู้สมรู้ร่วมคิดแล้ว แต่ทั่นนายกฯ ปากไว สวดยับไปเสียก่อนแล้ว

“แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ใช้คนกี่คน ทหารไม่ต้องทำงานอื่นเลยหรือ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เองก็ทำงานไม่ไหว”

เรื่องสากกระเบือก็เหมือนกัน ทั่นบ้วนออกมาถึง “สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย”





เหตุเกิดตอนที่ทั่นไปเปิดงาน Food trucks รถบรรทุกขายอาหาร นวัตกรรมใหม่ทางธุรกิจที่เอาอย่างฝรั่ง ในอเมริกาเริ่มจากประเภท ‘แดกด่วน ติดดิน’ จนคนนิยมกันมากเข้าก็ปรับตัวเองเป็นกิจการ ‘เก๋ไก๋ไม่ธรรมดา’ ลูกค้าได้ทั้ง ‘niche’ และ ‘fad’

“แล้วยังมาหาว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน ทำให้ทุกอย่างสากกะเบือยันเรือรบแล้ว” คำทั่นละ

แต่ดูแล้วสิ่งที่ทั่นทำมันอยู่แค่ ‘สากกะเบือ’ ยันไม่ถึงเรือรบหรอกนะ เรือรบนั่นจะดันซื้อลูกเดียว

เมื่อสองสามวันก่อนเห็น นสพ. ฐานเศรษฐกิจ ลงบทความเรื่อง “ต่างชาติย้ายฐานลงทุนหนีไทย เหตุเป้าส่งออกติดลบสี่ปีซ้อน” อ่านแล้วเซอร์ไพร้ส์ ที่ปกติสื่อค่ายนี้ไม่ค่อยพูดถึงอะไรที่เป็นลบต่อ คสช.

เขาอ้าง นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ให้ข้อมูลต่างๆ

“ทางออกของสินค้าไทยต้องเร่งยกระดับการผลิตเป็นสินค้าระดับกลาง-บน เป็นเกรดพรีเมียมมากขึ้น มีการพัฒนาออกแบบดีไซน์ และใช้นวัตกรรมมากขึ้น”

(http://www.thansettakij.com/2016/08/19/86070)

เขาก็ยังไม่วายยาหอมปิดท้าย “ซึ่งเวลานี้รัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนผู้ประกอบการปรับโครงสร้างการผลิตจากอุตสาหกรรม ๓.๐ เป็น ๔.๐ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต

ใช้เทคโนโลยีดิจิตอล ใช้นวัตกรรมและการออกแบบดีไซน์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มหนีคู่แข่งในอาเซียน”

แท้จริงที่ทำอยู่แค่ ‘พีอาร์’ เท่านั้นนะ ยังไม่ถึงขั้นนวัตกรรม แถมเป็นโฆษณาตัวเองเสียอีก

พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่านายกฯ ภูมิใจที่กรุงเทพโพลล์ให้คะแนนรัฐบาลเพิ่มขึ้น จาก ๗.๒๔ เป็น ๗.๕๗

(http://news.voicetv.co.th/thailand/402900.html)





ส่วนนิด้าโพลก็ให้ดีเยี่ยมเหมือนกัน ถ้ารวมคะแนนการทำงานของนายกฯ ‘ดีมาก’ กับ ‘ค่อนข้างดี’ เข้าด้วยกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกือบจะไล่ทันคิมจงอึนของเกาหลีเหนือแล้ว ที่ ๘๗.๖ เปอร์เซ็นต์ (๔๒.๔ + ๔๕.๒)

เมื่อเจาะลึกลงรายละเอียดเรื่องว่า “ตั้งใจทำงานเพื่อชาติ” เอย “กล้าตัดสินใจ” เอย คะแนนอยู่ในเกณฑ์ ๘๐ อัพ ล้วนเรื่องเด่นๆ เป็นการส่วนตัวเสียเยอะ จนอดีต รมว. พลังงาน พิชัย นริพทะพันธุ์ แซวว่า

“จากผลสำรวจรัฐมนตรีที่ติดอันดับโพลที่ประชาชนไม่ประทับใจ จะเป็นรัฐมนตรีที่มาจากเศรษฐกิจ”

(http://www.posttoday.com/analysis/politic/450066)

พูดง่ายๆ โพลชื่นชมหัวหน้าคณะรัฐบาลทหารของไทยเวลานี้ อยู่ที่เรื่องนามธรรมทั้งนั้น ประยุทธ์จะใส่เสื้อไทยสีอะไร เล่นบทเกรี้ยวกราดหรือตลกโปกฮาได้ประทับใจนักข่าวแค่ไหน

ตราบเท่าที่ตัวเลขข้อมูลการส่งออก การลงทุนทั้งของต่างชาติและในประเทศ การจับจ่ายในครัวเรือน ภาระหนี้สาธารณะสะสม ฯลฯ ล้วนแต่ไม่สดใส ไม่เข้มแข็งเหมือนผู้นำละก็

ส่อให้เห็นว่าปัญหาปากท้องของประชาชนยังไม่กระเตื้อง จะคงย่ำแย่ต่อไปไม่รู้อีกนานเท่าไร