พอมี ‘พีเพิ่ลโพล’ ออกมาแนะให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งพรรคการเมือง จะได้เป็นนายกฯ อย่างประชาธิปไตยสมใจ
เห็บตะหานลิ้นกระดาษทรายก็รีบท้วงทันใด อย่านะทั่น “หากท่านตั้งก็เท่ากับว่ากำลังจะเดินไปหลุมพลางทางการเมือง อาจไปไม่ถึงดวงดาวได้...
คนที่ทำปฏิวัติแล้วตั้งพรรคลงเล่นการเมือง ไม่เคยไปรอด ล้มกลางคันเเทบทุกราย” นายวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปท. แนะให้ใช้ ‘เปรมโมเดล’ แทน อ้างถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
“ที่ไม่จำเป็นต้องลงเลือกตั้งแต่ก็อยู่เป็นนายกฯ ถึง ๘ ปี ขอให้บริหารจัดการประนีประนอมอำนาจ ทั้งในและนอกสภาให้ได้ทุกฝ่ายก็น่าจะเดินได้”
เขายืนยันว่า “ถึงเวลาเลือกตั้งจะมีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ สานต่อภารกิจต่อไปอีก ๔ ปีแน่ๆ”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1472313118)
ส่วนพีเพิ่ลโพลที่ว่า ก็น่ารับฟังอยู่ เขาสำรวจความเห็นผ่านโทรศัพท์อัจฉริยะ โดยมีส่วนงานวิชาการ ๕ แห่งร่วมมือกัน ได้แก่ คณะนิติฯ มช. สหวิทยาการ มธ. สันติศึกษา มหิดล นวัตกรรม ม.รังสิต และทีมงานพีพีพี ที่ว่าเป็นกลุ่มอิสระ
สุ่มจากตัวอย่าง ๑,๔๗๗ คน ด้วยการตั้งคำถามให้ตอบว่า อยากเห็นประยุทธ์ตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งไหม ๙๑๘ คน หรือ ๖๒.๒ เปอร์เซ็นต์ “อยาก”
(http://www.matichon.co.th/news/264609)
เท่ากับตอกย้ำว่า ถ้ากระสันที่จะรับใช้ชาติและราชบัลลังก์ต่อจริงๆ ก็ต้องผ่านระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง จึงจะสง่างามในวิถีประชาธิปไตย อย่างที่เรียกหา
นอกเหนือจากนั้นยังต้องพัฒนาบุคลิกภาพของการเป็นผู้นำให้เข้าตาประชาชน ‘ส่วนใหญ่’ เสียหน่อย
อย่าสักแต่พูด พูด พูด โดยไม่มีกึ๋นของความรู้ข้อเท็จจริงหนุนหลังอีกต่อไป เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว (ถ้ามีคนออกเสียงวิสัยทัศน์สั้นมากพอ) ค่อยกลับไปเป็นแบบเดิมใหม่ (หากจะเป็นกรรมเวรของประเทศไทย)
ดูอย่างทรั้มพ์ที่เคยปากไม่มีหูรูดเหมือนทั่น ถึงจุดนี้อีกสองเดือนจะต้องเจอกับการออกเสียงของประชาชน ยังต้อง ‘backs down’ ถอยเข้าลู่ ยอมขอโทษที่พูดอะไรกระทบกระเทือนจิตใจผู้คน และแย้มว่าจะปรับนโยบาย ‘immigration’ เรื่องสร้างกำแพงกีดกั้นคนต่างด้าวเสียใหม่
กระทั่งล่าสุด เรื่องผักตบชวา แทนที่จะนิ่งเสียตำลึงทองฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านให้รู้ซึ้งถึงความคิดจิตใจประชาชน ดันพูดแขวะนักวิชาการเสียนี่
พูดด้วยท่าทีเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นแบบเดียวกับทรั้มพ์ ทำให้นักวิชาการต้องออกมาตอบด้วยท่าทางอย่างผู้ทรงภูมิรู้
แน่ละทั่นผู้ยิ่งใหญ่ไม่ยี่หระ ไม่เคยหน้าแตก ไม่มีหนังหน้าบาง แต่ประชาชนทั้งหลายเขาได้เห็นเป็นประจักษ์แล้วว่า กระบอกปืนนั้นใช้ทำน้ำยาไม่ได้ ทำน้ำพริกแกงก็ไม่ดี
ดูจากที่ อจ. Jessada Denduangboripant โพสต์ไว้ว่า “เห็น พล.อ. ประยุทธไล่นักวิชาการไปกินผักตบชวาแทนผักบุ้ง เลยเอาเมนูพื้นบ้านมาให้ดู”
เช่น แกงผักตบชวาปลาดุก หรือแกงส้มยอดบัวลอย (ชาวเหนือเรียกผักตบว่าบัวลอย) ตามลิ้งค์วิธีทำแกงผักตบชวา จาก http://www.fwdder.com/topic/261593 เป็นต้น
ย่อมชี้ชัดว่าการสร้างศรัทธาความเชื่อถือให้เกิดแก่ตนในเมื่อไม่มีกึ๋น นั้นขึ้นอยู่กับการรับฟังและเข้าใจถึงสติปัญญาของผู้อื่น
การบริหารด้วยปาก เช่นที่ชอบพูดเสมอว่า “ไปทำมา ไปทำมา” ไม่ได้ช่วยให้ทำได้สำเร็จหากคนสั่งงั่งเอง
นับว่าเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะเตรียมตัวเป็นนายกฯ ผู้สง่างาม ในช่วงเวลาที่ยังได้ครองอำนาจจากปากกระบอกปืนต่อไปอีกราว ๑ ปี กว่าจะถึงเวลาอันควรสำหรับเลือกตั้งทั่วไป
ด้วยการหุบปากเสียบ้างแล้วลงมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสองเรื่อง ที่กำลังเผชิญต่อความสมบูรณ์พูนสุขของประเทศ
เรื่องแรกเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-โคราช ที่ คสช. เองเป็นผู้ลากถูลู่ถูกังไปให้จีนดำเนินการ (โดยยังไม่ต้องตั้งข้อสงสัยเรื่องส่วนต่าง เงินทอน ก็ได้) แล้วลงเอยให้ไทยเริ่มลงมือก่อสร้างเบื้องต้นช่วงแรก ๓.๕ กิโลเมตร ระหว่างสถานีกลางดงกับปางอโศก
ก็ยังเกิดปัญหาอีกจนได้ไม่สิ้นสุด
“ขณะนี้มีเพียงตัวเลขมูลค่าโครงการเบื้องต้นเท่านั้น จะอยู่ที่ ๑.๗๙ แสนล้านบาท ภายหลังการหารือทั้งสองฝ่าย ได้ลงนามร่วมกันในกรอบความร่วมมือที่กระทรวงคมนาคมได้ลงนามร่วมกับฝ่ายจีน FOC (Framework of Cooperation) เป็นกรอบความร่วมมือที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบไปเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคมที่ผ่านมา”
และ “พบว่าจีนเสนอกำหนดประเภทและชนิดของวัสดุใช้ในการก่อสร้างเป็นมาตรฐานของจีน ใช้รหัสสินค้าตามมาตรฐานจีน ทำให้ผู้รับเหมาไทยอาจไม่ทราบว่าสินค้าดังกล่าวคืออะไร
รวมทั้งวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะต้องหาซื้อได้เฉพาะในจีนเท่านั้น อาจเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างของฝ่ายไทย”
(http://www.matichon.co.th/news/264543)
เอ้า ตายละสิ นี่ยังไม่ได้ถามว่าจะต้องจ้างจีนมาสอนวิธีก่อสร้างให้ผู้รับเหมาไทยด้วยไหม
ฟามงัวไม่ทันหาย ฟามฟายเข้ามาแทรกอีก เมื่อนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยออกมาร้องออดอ้อนว่า “ราคาข้าวลดลดลงอย่างรวดเร็ว”
แต่ไม่น่ากลัว เพราะ “วันนี้ยังไม่ได้ต่ำสุด” ยังมีพรุ่งนี้ มะรืนนี้ให้ลุ้น ว่างั้นเถอะ
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ฯ บอกว่า “หากราคาข้าวส่งออกต่ำลงอีก อาจกระทบราคาข้าวเปลือกรับซื้อจากชาวนาไม่สูงนัก ทั้งข้าวนาปรังรอบ ๒ ออกเดือนตุลาคมนี้ และข้าวนาปีออกพฤศจิกายนนี้ถึงมกราคมปีหน้า”
นั่นละ ยังไม่ได้ต่ำสุดแต่ก็พอรู้สาเหตุ นอกจาก “ตลาดซื้อต่างประเทศซบเซา” แม้เวียตนามคู่แข่งที่กำลังจะล้ำหน้าไทยก็ยังเจอจำนวนส่งออกหลักใหญ่ให้จีนตกลงไป
และปัญหาภายในที่ปีนี้จะผลิตได้มากเกินไป โรงสีเลยเริ่มกดราคาข้าวค้างสต็อก
เหล่านั้น คสช. จะใช้ ม.๔๔ เข้าจัดการอีก สงสัยคงไม่ไหวละมัง เนื่องจากยังมีสาเหตุใหญ่ที่สมาคมส่งออกระบุว่าทำให้ราคาข้าวตกลงน่าใจหาย ก็คือข้อสาม
“จิตวิทยาการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลช่วงเดือนที่ผ่านมา และกำลังเปิดระบายอีก ๑ ล้านตัน”
(http://www.matichon.co.th/news/264569)
นี่สิ ตายห่ “ข้าวล้น ราคาย่อมลด” นึกไม่ถึงทฤษฎีอุปสงค์-อุปทานธรรมดา จปร. ก็สอนแล้วนะ
ขออภัย เผลอไปนิด มีดหล่นใส่ตีนตัวเอง มัวแต่คอยจับเสื้อแดงเปิดทางปรองดองอยู่น่ะ