วันอาทิตย์, สิงหาคม 07, 2559

ถึงแล้ววันนี้ วันเข้าคูหาโหวตโนร่าง รธน. ฉบับสถาปนา คสช. เป็น ‘พ่อ’ ทุกสถาบันการเมืองไทย กว่าจะมาถึงได้บักโกรกบักอาน





ถึงแล้ววันนี้ วันเข้าคูหาโหวตโนร่าง รธน. ฉบับสถาปนา คสช. เป็น ‘พ่อ’ ทุกสถาบันการเมืองไทย กว่าจะมาถึงได้บักโกรกบักอาน

“ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ ซึ่งมีการจับกุมและคุกคามผู้ที่ใช้สิทธิเสรีภาพออกมารณรงค์อย่างกว้างขวาง...

จนถึงวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ มีผู้ถูกดำเนินคดีแล้วทั้งหมดอย่างน้อย ๑๙๕ คน

เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง ๘๔ คน (สถิติเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙) ในช่วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งเดือน”




ซึ่งศูนย์ทนายฯ เรียกว่าการ ‘ขี่ช้างจับตั๊กแตน’ ของ คสช. อันเป็นการไล่จับประชาชน เด็กเล็ก วัยรุ่น ลิง (และเกือบได้จับ ‘สุนัข’) ทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น กำแพงเพชร ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ระยอง สกลนคร แพร่ เชียงใหม่ ลำปาง อุบล สงขลา และปราจีนบุรี

บ้างโดนข้อหาฉีกใบประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ซึ่ง กกต. ติดไว้ตามจุดออกเสียงต่างๆ บ้างออกมารณรงค์ บ้างประกาศตนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

(ศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนทำรายงาน สถานการณ์ละเมิดสิทธิก่อนลงประชามติฯ เอาไว้อย่างละเอียดที่ http://www.tlhr2014.com/th/?p=1508)

อันเป็นหลักฐานแสดงชัดแจ้งว่า ในระยะเวลาสามเดือนเศษนับแต่มีประกาศกำหนดวันลงประชามติ “สถานการณ์การปิดกั้นการแสดงออก และการเปิดให้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด





อยู่ในสภาวะย่ำแย่อย่างมาก...ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...มีการคุกคามด้วยวิธีการต่างๆ เพิ่มขึ้น...การดำเนินคดีเกิดขึ้นกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แสดงออกในลักษณะไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพียงฝ่ายเดียว...

ใช้ ‘ข้อกฎหมาย’ หลายข้อหา เข้ามาจำกัดควบคุมการแสดงออก นอกจาก พ.ร.บ.ประชามติฯ แล้ว ยังมีการใช้คำสั่งหัวหน้า คสช., ข้อหาความมั่นคงตามมาตรา ๑๑๖ ของประมวลกฎหมายอาญา หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ...

ก่อให้เกิดบรรยากาศของการลงประชามติที่ทั้งไม่เปิดกว้าง ไม่เสรี และไม่เป็นธรรม”





ล่าสุดในช่วงวันที่ ๔-๕-๖ สิงหา มีเรียกประชาชนที่แสดงจุดยืนไม่รับร่างฯ ไปรายงานตัว อบรมและตั้งข้อหาหลายราย

ที่เด่นชัยมีชาวบ้านถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ จนถึงวันที่ ๔ ส.ค. รวม ๒๓ ราย เพราะพวกเขาไปยืนถ่ายรูปร่วมกันหน้าป้ายศูนย์ปราบโกง ของ นปช.

วันเดียวกันที่ สน.สำราญราษฎร์ มีตำรวจจากเชียงใหม่มาแจ้งความนางจิราภรณ์ ฉายแสง ภรรยาของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในข้อหาช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องหาเตรียมเผยแพร่จดหมายแสดงเจตนาไม่รับร่าง รธน. ที่มี่อดีต ส.ส.เชียงใหม่เป็นจำเลยสำคัญ

ที่ขอนแก่น คืนวันที่ ๖ ส.ค. สองนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (หนึ่งในนั้นคือ ไผ่ ดาวดิน) ถูกตำรวจนำตัวไปควบคุมไว้ที่ สภ.ภูเขียว หลังจากที่ไปแจกใบปลิวไม่รับร่าง รธน. ที่ จ.ชัยภูมิ แจ้งข้อหาความผิด พรฐ. ประชามติ ม.๖๑ วรรค ๒

“TLHR @TLHR2014 เวลา ๒๑.๒๐ น. 2 NDM อีสาน แจ้งแก่ทนายความว่ายังไม่ขอประกันตัวในคืนวันนี้”

การจับกุม คุมตัว กดดันผู้คนที่ออกมาแสดงจุดยืนไม่รับร่างฯ เหล่านั้น ตรงกับคำประกาศขององค์กรสมาชิกสภาผู้แทนในประเทศอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR) เมื่อสามวันก่อนหน้า

“นี่ไม่ใช่ประชามติในความหมายแท้จริง นี่ไม่ใช่กระบวนการประชาธิปไตย เป็นการบังคับให้ออกเสียงภายใต้กระบอกปืน ที่ตามมาหลังจากทางการพยายามที่จะผลักไสการถกเถียงในข้อเท็จจริง” ชาร์ล ซานติเอโก สมาชิกสภามาเลย์เซีย ซึ่งเป็นประธานเอพีเอชอาร์ ระบุในคำประกาศ

“ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนซึ่งเชื่อมั่นในประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมสากล เราไม่สามารถสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ หรือแม้แต่การออกเสียงต่อร่างนี้ในวันอาทิตย์”





เขาเสริมด้วยว่าต้องการสื่อความหมายนี้ไปสู่ประชาชนไทยที่เพียรพยายามเรียกคืนสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพกลับคืนมา ในสถานการณ์ที่เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมถูกจำกัดตามอำเภอใจของผู้ครองอำนาจมากยิ่งขึ้น

“นี่ไม่ใช่บรรยากาศสำหรับการออกเสียง การถกเถียงอย่างเปิดเผยและเสรีมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อที่สาธารณชนจะใช้ในการพิจารณาตัดสินใจ”

นายซานติเอโกแถลงอีกตอนหนึ่งว่า ปราศจากซึ่งบรรยากาศดังกล่าว “ก็ไม่มีความชอบธรรมแม้สักนิดสำหรับการทำประชามติ

นอกเสียจากมันเป็นเพียงความพยายามของคณะฮุนต้าที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่จะบิดเบี้ยวกระบวนการทางประชาธิปไตย ให้ได้มาซึ่งความชอบธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง”

(http://aseanmp.org/…/regional-parliamentarians-cry-foul-ah…/)

เป็นความเห็นที่สอดคล้องกับคนไทยทั้งในและนอกประเทศจำนวนไม่น้อยที่ยืนยันว่า การทำประชามติมิได้มีความชอบธรรมมาแต่ต้น เป็นความพยายามใช้การขู่เข็ญ กดดัน และการโกหกจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนออกเสียง ที่จะครอบงำและยึดครองประเทศให้อยู่ภายใต้เผด็จการทหารสืบเนื่องต่อไปเป็นเวลายาวนาน

ดั่งที่กลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาออกคำประกาศ “กูไม่เอากะมึง ทั้งขึ้นทั้งล่อง” เมื่อสองวันก่อน เนื่องเพราะท้ายที่สุดแล้วการบิดเบือนคะแนนเสียงโดยผู้มีอำนาจกำกับการออกเสียงยังเป็นไปได้เสมอ ตราบเท่าที่สื่อมวลชนไม่สามารถติดตามขั้นตอนการนับคะแนนได้ในช่วงเวลา ๓ ชั่วโมงก่อนประกาศผล

แม้นว่าภายในประเทศ มีการวิเคราะห์คาดหมายกันเป็นส่วนตัวไว้น่าฟังจาก prajak kong @bkksnow ว่า

“ในครั้งนี้ ปัจจัยสำคัญต่อผลประชามติคือ ๑. จำนวนการไปใช้สิทธิของคนอีสาน ๒. ภาคใต้เสียงจะแตกมากน้อยแค่ไหนจากที่พรรค ปชป. ออกมาโหวตโนสวนกับ กปปส.”

“ถ้าภาคใต้เสียงแตก ๕๐/๕๐, ภาคอีสานออกมาใช้สิทธิเกิน ๗๐%, และภาคกลางสูสีกว่าเดิม ผลจะออกมาในทางที่ตรงข้ามกับที่รัฐบาลคาดหวัง”

(หมายเหตุ นี่จะว่าเป็น exit poll ก่อนบ่ายสี่โมงก็ได้นะ)