วันอังคาร, มิถุนายน 10, 2557

ส่งจดหมายลงทะเบียนถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา


 ปล.
1. ผมยืนยันว่าเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศไทย และได้ขายหนังสือ 2 เล่มเพื่อหาเงินมาจ่ายเป็นค่าอากรแสตมป์เพื่อส่งจดหมายฉบับนี้


2.  ลิงก์ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่พิมพ์ออกมาส่งให้พลเอกประยุทธ์  www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/book.pdf


* * * * * * * * *

9 มิถุนายน 2557

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ที่อยู่ชั่วคราว
ทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก กรุงเทพมหานคร 10300

สวัสดีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ผมคงไม่ถามว่าพลเอกประยุทธ์ มีความสุขไหม เพราะพลเอกประยุทธคงมีความสุข ที่ได้กระทำรัฐประหารล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตยได้สำเร็จ ตามธรรมเนียมวิถีกองทัพไทยเป็นครั้งที่ 12 ในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักและเทิดทูนของปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ถ้าจะถามว่าคนไทยมีความสุขไหม ก็กลายเป็นคำถามที่ถามไม่ได้ไปเสียแล้ว เพราะคณะรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์ได้มีคำประกาศออกมามากมาย เพื่อสั่งการให้ “คนไทยที่ไม่มีความสุข” ไปรายงานตัวและส่งเข้าห้องขังหรือค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติ เพื่อข่มขวัญคนไทยทั้งประเทศ ให้ “ต้องมีความสุข” เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครล่ะจะกล้าไม่มีความสุขภายใต้การปกครองของพลเอกประยุทธและกองทัพ ที่สามารถสั่งการให้กองกำลังทหารร่วมสามแสนนายสามารถเคลื่อนย้ายไปประจำทุกจุด ที่คาดว่าประชาชนจะมารวมตัวกัน และให้สามารถเข้าตรวจค้นหมู่บ้าน หรือยังห้องนอนของประชาชน ยามถูกต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมที่ไม่มีความสุขตามนโยบายของท่านผู้นำ ในบรรยากาศการเมืองเช่นนี้ ประชาชนในประเทศไทยจะบอกว่า “ไม่มีความสุข” ได้กระไรในบรรยากาศที่มีปืนจ่ออยู่ที่หัว และมีค่ายทหารเป็นสถานที่กักกัน

แต่ผมขอยืนยันว่า ไม่มีคนชาติใด รวมทั้งคนที่เมืองไทย ที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์ จะสามารถ “มีความสุข” ได้ ยามอยู่ภายใต้กองกำลังทหารและอาวุธปืนจี้จ่อหัวอยู่เช่นนี้ ผมจึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพื่อบอกกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐประหารว่า สิ่งที่พวกท่านกระทำนั้นเป็นการทำลายประเทศไทย ไม่ใช่เป็นการช่วยประเทศไทยตามที่กล่าวอ้าง และทหารกำลังนำพาประเทศไทยดิ่งลงหุบเหวแห่งหายนะ

ทั้งนี้ ประชาชนที่รู้จักคำว่าเสรีภาพคืออะไร ต่างก็ตะลึงงันและเจ็บปวดว่า แม้ว่าโลกจะเคลื่อนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และหลายประเทศพากันสลายพรมแดนแห่งความเป็นชาติ และขยายพรมแดนแห่งมิตรภาพและภราดรภาพกับประชาชนทั่วภูมิภาคและทั่วโลก แต่ที่ประเทศไทย ยังมีทหารที่ตกยุกตกสมัย ที่ยังใช้กระบอกปืนมาจี้ทำรัฐประหารและบังคับคนในชาติเดียวกันได้อยู่อีกเช่นนี้

นับตั้งแต่ปี 2475 ประเทศไทยได้สถาปนาระบอบการปกครองให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย ทั้งนี้อุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตยนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความเคารพว่า “คนทุกคนมีสิทธิและเสียงหนึ่งเดียวเท่ากัน” ไม่ว่าจะยากดีมีจน มียศตำแหน่งหรือไร้ยศตำแหน่ง หรือมากปริญญาหรือไร้ปริญญา เพื่อการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนตามหลักการแห่งการบริหารบ้านเมือง “โดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน”

นับตั้งแต่อดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้างและเปิดรับต่อการทำสัมพันธไมตรีและปฏิสังสรรค์กับนานาชาติ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ประเทศไทยเข้าร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ในปี พ.ศ. 2462 สมาชิกสหประชาชาติ (UN) ในลำดับที่ 55ในปี 2489 ได้ให้สัตยาบันปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในปี 2491 เป็นประเทศภาคีสมาชิกอาเซียน (ASEAN) ในปี 2510 เป็นประเทศสมาชิก APECในปี 2532 เป็นสมาชิก WTO ในปี 2534 จัดประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียนและยุโรป (ASEM Submit) ครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2539 ทั้งนี้ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันและลงนามร่วมมือกับนานาชาติมาแล้วกว่า 200 ฉบับ ดังนั้นประเทศไทยจึงมีพันธสัญญาผูกพัน ให้ต้องมีบริหารประเทศและดำเนินนโยบายการพัฒนาประเทศที่สอดรับกับเงื่อนไขของสหประชาชาติ UN และหลักการของประเทศคู่สัญญาการค้าต่างๆ ไม่ว่าจะ ASEAN APEC ASEMหรืออีกหลายประเทศทวิภาคีหรือพหุภาคีทางการค้า ที่ต่างก็ยึดมั่นในหลักการแห่งสันติภาพโลก ด้วยการปฏิบัติตาม 30 มาตราที่ระบุอยู่ใน “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน”

พลเอกประยุทธ์ ไม่เคยศึกษาและตั้งคำถามอย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเลยหรือว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่พัฒนาเสียที และทำไมประเทศไทยที่เคยรุ่งเรือง จึงถูกประเทศเพื่อนบ้านขยับหนีทิ้งห่างไปเรื่อยๆ เช่นนี้ - ทั้งด้านคุณภาพประชาชน คุณภาพสังคม ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง - ผมตอบให้ก็ได้ว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา แทบจะไม่เคยมีคณะรัฐบาลไทยคณะใด (ยกเว้นเพียงคณะเดียว 2544-2548) ที่สามารถอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลตัวแทนของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ถูกทหารเข้าแทรกแซงและทำรัฐประหารและยึดอำนาจการปกครอง

คงไม่ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า พลเอกประยุทธ์เป็นนายพลทหารคนล่าสุด ที่ไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย และอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ว่า “เพื่อรักษาความสงบสุขของประเทศชาติ” ที่ฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย มาทำการรัฐประหาร - ในช่วงเวลาที่กองกำลังตำรวจก็ทำหน้าที่รักษาความสงบตามกฎหมายบ้านเมืองได้ดีอยู่แล้ว - ในช่วงเวลาที่กลุ่มผู้ประท้วงจากค่ายการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ กปปส. ที่เหลือแนวร่วมเพียงไม่กี่ร้อยคน ก็ประกาศแล้วว่าจะยุติการประท้วงในวันที่ 27 พฤษภาคม – ในยามที่กลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนการเลือกตั้ง นปช. ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่จะก่อความรุนแรงและเป็นพิษภัยต่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด - และในยามที่รัฐบาลรักษาการจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ก็ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้แล้วว่าจะเป็นวันที่ 20 กรกฎาคม 2557

ด้วยประการฉะนี้ การแทรกแซงการเมืองของพลเอกประยุทธ์ และ คสช. ต่อกลุ่มที่มีประท้วงด้วยความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ในทุกประเทศประชาธิปไตย จึงเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตย เป็นการกระทำที่ทำลายภาพพจน์และพัฒนาการของประเทศไทย และจะส่งผลต่อความเสียหายทั้งชื่อเสียง ภาพพจน์ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดความทุกข์ยากของประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับทุกข้ออ้างที่พลเอกประยุทธ์และคณะใช้อ้างเพื่อทำการยึดอำนาจ

อนึ่ง แม้แต่ตัวพลเอกประยุทธ์ ก็ตระหนักดีไม่ใช่หรือว่า การทำรัฐประหารไม่ใช่ทางออกของการเมือง ทั้งนี้มีข่าวต่างๆ ที่สามารถนำมายืนยันได้หลายชิ้นถึงการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ที่ปฎิเสธเรื่องการทำรัฐประหารมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2553 ย่ิงกว่านั้น สถานการณ์เมืองไทยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2557 ก็ไม่ได้รุนแรงและอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลเช่นที่พลเอกประยุทธ์ ใช้กล่าวอ้างในการทำรัฐประหารแม้แต่น้อย ... พลเอกประยุทธ์คงจำได้ดีว่า ภายในเดือนเดียวกันเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ ทหารได้ทำการยิงสังหารประชาชนถึง 100 ศพ และยิงประชาชนร่วม 2000 คนบาดเจ็บ เพื่อปกป้องรัฐบาล แต่ทหารก็ไม่ได้อ้างความรุนแรงครั้งนั้นมาทำรัฐประหารรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

การอ้างเหตุผลเพื่อการทำรัฐประหารของกองทัพครั้งนี้ รวมทั้งการจับกุมคุมขังนักการเมือง นักคิด และชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ด้วยข้ออ้างว่า “เพื่อความสงบสุข” และ “เพื่อปรับทัศนคติ” เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง และเป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมรับได้ มิใยที่จะต้องย้ำว่า มีคนเพียงกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่ควรจะต้องถูกเข้าค่าย “ปรับทัศนคติ” ให้สามารถยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกโลกาภิวัตน์ให้ได้ ซึ่งนั่นก็คือ บรรดานายพลทหารและนายพลตำรวจ และบรรดาทหารและตำรวจภายใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย

กระนั้น ผมยืนยันว่า ผมไม่ปฏิเสธความหวังดีของทหารที่มีต่อประเทศชาติ และก็สนับสนุนให้ทหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ แสดงความหวังดีต่อประเทศชาติ ด้วยการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ด้วยการตั้งพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามกติกาประชาธิปไตย

พร้อมจดหมายฉบับนี้ ผมได้ส่งหนังสือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่พิมพ์เผยแพร่โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยเมื่อปี 2551 ในวาระครบรอบ 60 ปี ที่ไทยให้สัตยาบันปฏิญาสากลฯ ฉบับนี้ มายังพลเอกประยุทธ์และคณะ ทั้งนี้ปฏิญญาสากล ทั้ง 30 มาตรา เริ่มต้นด้วยคำปรารภว่า ...

“โดยที่การยอมรับนับถือเกียรติ์ศักดิ์ประจำตัว และสิทธิเท่าเทียมกันและโอนมิได้ของบรรดาสมาชิกทั้งหลายแห่งครอบครัวมนุษย์เป็นหลักมูลเหตุ แห่งอิสรภาพ และความยุติธรรม และสันติภาพในโลก

โดยไม่นำพาและเหยียดหยามต่อมนุษยชน ยังผลให้มีการกระทำอย่างป่าเถื่อน ซึ่งเป็นการละเมิดมโนธรรมของมนุษยชาติอย่างร้ายแรง และได้มีการประกาศว่า ปฏิญญาสูงสุดของสามัญชนได้แก่ความต้องการให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยอิสรภาพ ในการพูดและความเชื่อถือและอิสรภาพพ้นจากความหวาดกลัวและความต้องการ

โดยที่เป็นความจำเป็นอย่างที่สิทธิมนุษยชนควรได้รับความคุ้มครองโดยหลักบังคับของกฎหมาย ถ้าไม่ประสงค์จะให้คนตกอยู่ในบังคับให้หันเข้าหาขบถขัดขืนต่อทรราชและการกดขี่เป็นวิถีทางสุดท้าย

โดยที่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งเสริมวิวัฒนาการแห่ง สัมพันธ์ไมตรีระหว่างนานาชาติ

โดยที่ประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันไว้ในกฎบัตรถึงความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักมูล ในเกียรติศักดิ์และคุณค่าของมนุษย์และสิทธิในความเท่าเทียมกันของบรรดาชายและหญิง และได้ตกลงใจที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและมาตรฐานแห่งชีวิตที่ดีขึ้นด้วยในอิสรภาพ อันกว้างขวางยิ่งขึ้น

โดยที่รัฐสมาชิกต่างปฏิญาณจะให้บรรลุถึงซึ่งการส่งเสริมการเคารพและปฏิบัติตามทั่วสากลต่อสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพหลักมูล โดยร่วมมือกับสหประชาชาติ

โดยที่ความเข้าใจร่วมกันในสิทธิ และอิสรภาพเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้ปฏิญญานี้สำเร็จผลเต็มบริบูรณ์"

มาตรา 19 ของปฏิญญาสากลฯ ระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออกสิทธินี้รวมถึงอิสรภาพในการที่จะถือเอาความคิดโดยปราศจากความแทรกสอดและที่จะแสวงหา รับและแจกจ่ายข่าวสารและความคิดเห็นไม่ว่าโดยวิธีใดๆ และโดยไม่คำนึงถึงเขตแดน” ซึ่งการกระทำของคณะรัฐประหารพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ละเมิดกติกาสากลในทุกด้าน และไม่อาจหาเหตุผลใดมาสนับสนุนเพื่อให้ความชอบธรรมกับการกระทำรัฐประหารล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยได้แม้แต่ข้อเดียว

ในฐานะที่ผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่สามารถอ้างได้ว่ารักประเทศไทย และใช้ความรู้ความสามารถมาตลอดชีวิตมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปีเพื่อร่วมพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง ผมจึงเขียนจดหมายฉบับนี้มายังพลเอกประยุทธ์ เพื่อประท้วงการทำรัฐประหารของพลเอกประยุทธ์และคณะ และประท้วงคำอ้างของพลเอกประยุทธ์และบรรดานายพลทหารและตำรวจว่า ไทยต้องคงเอกลักษณ์การเมืองแบบไทยๆ (โดยไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับกติกาสากล) และเพื่อย้ำเตือนว่า การกระทำของนายพลทหารและตำรวจครั้งนี้ ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ ทั้งในหมู่คนไทยที่รักเสรีภาพ ในหมู่ชาติภาคีสมาชิก ASEAN และในหมู่อารยประเทศ

ผมขอเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์และคณะนายทหาร นำสันติสุขกลับสู่ประเทศไทยด้วยการ ...

  1. ยึดมั่นในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และหยุดใช้กองกำลังทหารแทรกแซงการเมือง
  2. ยุติการจับกุมคุมขังและคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และปล่อยทุกคนที่ถูกคุมขังโดยทันที
  3. เคารพหลักการประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีความเห็นต่างกันได้ และสามารถเข้าร่วมพรรคการเมืองและลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นตัวแทนประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยได้
  4. ประกาศยกเลิกทุกคำสั่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คณะ คสช. ที่ออกประกาศมาตั้งแต่ วันที่ 20 พฤษภาคม 2557
  5. ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในสถาบันฯ หลักของประเทศไทย ที่ช่วยกำกับและดูแลให้การเลือกตั้ง 20 กรกฎาคม 2557 ให้สามารถดำเนินต่อไปได้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอ่านปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และยอมรับว่าคนไทย 65 ล้านคน มีวุฒิภาวะพอที่จะใช้สิทธิใช้เสียงของพวกเขาเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยไปได้โดยไม่ต้องให้ทหารมาทำรัฐประหารกันครั้งแล้วครั้งเล่าในนามของประชาชนคนไทย

จึงเรียนมาด้วยความปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาอย่างยั่งยืน และร่วมเป็นหนึ่งในอนารยะประเทศ ที่คนไทยสามารถร่วมยืนในทุกพื้นที่ในโลกนี้ได้อย่างตัวตรงและสง่างาม

จรรยา ยิ้มประเสริฐ
เลขประจำตัวประชาชน 3720400329296