โดย David Streckfuss
วันที่ 3 มิถุนายน 2557
ผู้นำทหารคนใหม่ของไทยไม่ได้เป็นคนชอบซาบซึ้งไปกับประวัติศาสตร์ อันที่จริงแล้ว เพื่อดำเนินแผนการ "ปรองดอง" ของพวกเขา ทหารกลับยินดีที่จะให้ทุกคนลืมๆประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเสียทั้งหมด
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จัดตั้งขึ้นเมื่อ50ปีที่แล้วเพื่อถอนรากถอนโคนฝ่ายคอมมิวนิสต์ และในตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ช่วยฝ่ายต่างๆที่แตกแยกกันเพราะการเมือง กลับมา "ละลายสีเสื้อ"ได้ ผ่านการจัดตั้ง "ศูนย์ปรองดอง"
“นี่เป็นเวลาที่คนไทยจะต้องเลิกคิดถึงอดีตที่ผ่านมา" โฆษกกอ.รมน. พ.อ.บรรพต พูลเพียรกล่าว และบอกกับคนเหนือและคนอีสานซึ่งเป็นกำลังหลักของฝ่ายเสื้อแดงและไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดของประเทศด้วย "[เสื้อแดง] ควรจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคมไปเสีย"
จริงๆแล้วมีหลายเหตุการณ์ในอดีตที่คนในภาคดังกล่าวจะลืมได้ลง ในช่วงเวลาแค่เพียง8ปี เสียงของคนส่วนใหญ่ถูกเขี่ยทิ้งผ่านการประกาศให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ2ครั้ง ศาลสั่งปลดนายกไป3คน มีรัฐประหาร2รอบ และยกเลิกรัฐธรรมนูญไป2ฉบับ แต่ที่ยากจะลืมได้ลงที่สุดคือการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า90 คนและบาดเจ็บอีกนับพัน
ทหารได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกในช่วงรุ่งสางของวันที่ 20 พค. และแม้จะมีข่าวลือหนาหูมานานหลายเดือนแล้วแต่คนส่วนใหญ่ก็ดูตกใจกับเหตุการณ์นี้ ทหารได้เรียกคณะรัฐมนตรี แกนนำกปปส. ฝ่ายค้าน และฝ่ายเสื้อแดงมาร่วมหารือกันเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาซึ่งทำตัวเป็นคนกลางจะปิดการประชุมด้วยการคำรามขึ้นมาว่า "ขอโทษด้วย แต่ผมต้องยึดอำนาจ" หลายคนที่มาประชุมนึกว่าเขาเล่นมุก แต่ก็มารู้ว่าเขาเอาจริงเมื่อทหารมาคุมตัวผู้มาประชุมไปขึ้นรถและพาไปยังที่คุมตัว
นี่เหมือนจะเป็นลางที่ส่อให้เห็นถึงวิธีที่ทหารพยายามจะเข้ามาจัดการกับปัญหาในช่วงต่อมา ในตอนแรกทหารพยายามทำตัวให้มีความชอบธรรมแบบปลอมๆด้วยการระงับใช้รัฐธรรมนูญไปชั่วคราวและเก็บวุฒิสภาไว้ก่อน
แต่หลังจากนั้น6ชั่วโมงรัฐบาลทหารก็เลิกเล่นละครและยกเลิกรัฐธรรมนูญกับวุฒิสภา ทำให้ประเทศไทยกำลังปกครองด้วยเผด็จการทหารอย่างแท้จริง
วิทยุและโทรทัศน์ทุกช่องถูกบังคับให้ออกอากาศเพลงมาร์ชทหารและเพลงปลุกใจอยู่หลายวัน และมีประกาศและคำสั่งเรียกตัวกลุ่มคนที่เห็นต่างให้ไปรายงานตัวหลายฉบับ ในไม่กี่วัน วิทยุชุมชนกว่า3,000 สถานีถูกปิด CNNและBBCถูกบล็อค รายการทั่วไปออกอากาศได้แต่ห้ามให้มีรายการพูดคุยเรื่องการเมือง และมีเคอร์ฟิวทั่วประเทศตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีห้า
รัฐบาลทหารประกาศให้คำสั่งคณะรัฐประหารเป็นกฎหมายที่ผู้ละเมิดจะต้องได้รับการลงโทษ และความชอบธรรมที่พวกเขามีในการกระทำดังกล่าวก็คือกระบอกปืนของพวกเขานั่นเอง
คนไทยบางส่วนออกมาต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้ สิ่งที่ทหารดูเหมือนจะไม่เข้าใจคือเสื้อแดงบางส่วนได้เปลี่ยนไปจากกลุ่มคนที่สนับสนุนทักษิณกลายเป็นผู้สนับสนุนให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งอย่างเสรี การเปลี่ยนแปลงของเสื้อแดงและสังคมไทยโดยรวมครั้งนี้ทำให้เกิดการตาสว่างทางการเมืองที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้ทักษิณจะยังมีอิทธิพลอยู่ แต่ก็กลายเป็นเรื่องรองไปในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคมและการเมืองครั้งนี้
ตั้งแต่การยึดอำนาจ อินเตอร์เน็ตเป็นหนทางเดียวที่คนไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ในทางเหนือของประเทศ แกนนำเสื้อแดงได้มุดลงใต้ดินหรือข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็ว กระนั้น การประท้วงต้านรัฐประหารก็มีขึ้นเป็นระยะๆในหัวเมืองต่างๆ ในจังหวัดภาคอีสานจังหวัดหนึ่งมีการประท้วงที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันถึง6กลุ่มเกิดขึ้นในเวลาเพียง2ชั่วโมงในห้างสรรพสินค้าห้างเดียว และแม้ทหารจะมาควบคุมสถานการณ์แต่บางกลุ่มก็ขับไล่ทหารออกไปได้
แต่ผู้ต่อต้านรัฐประหารไม่คาดคิดว่าทหารจะจัดหนักในการจัดการกับผู้ประท้วง เว็ปไซต์ประชาไทรายงานว่านักการเมือง นักข่าว ศิลปิน นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวรวมกว่า400คนถูกออกประกาศเรียกตัวไป และอีกมากที่ถูกจับไปคุมตัวอย่างเงียบๆ การคุมตัวมีระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงเป็นสัปดาห์ และคนที่ถูกคุมตัวจะต้องเซ็นต์ชื่อในเอกสารว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกและจะไม่ทำกิจกรรมต้านรัฐประหาร
คนที่ปฏิเสธไม่ไปรายงานตัวจะถูกลงโทษด้วยการจำคุกไม่เกินสองปี และแม้ทหารจะประกาศตัวเป็นกลาง แต่คนที่ถูกเรียกตัวไปส่วนใหญ่กลับเป็นพวกเสื้อแดง กลุ่มนักการเมืองที่สนิทสนมกับทักษิณ และนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย คณะรัฐประหารพยายามบอกว่าพวกเขากำลังหยุดความขัดแย้งและความรุนแรง และแม้จะไม่ได้ประกาศมาโต้งๆว่าเสื้อแดงคือศัตรู แต่ทหารก็กำลังจับตามองคนที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งทำให้มองพวกเสื้อแดงเป็นศัตรูไปโดยปริยายเพราะผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่สนับสนุนเสื้อแดงหรือเป็นกลุ่มนักวิชาการฝีปากกล้า
การปกป้องสถาบันกษัตริย์เป็นหนึ่งในเหตุผลในการทำรัฐประหารที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน รถถังที่เคยขับกันออกมามักมีพระบรมฉายาลักษณ์ประดับอยู่ แต่ในครั้งนี้กลับไม่มีจนผิดสังเกต แต่เพื่อให้การทำรัฐประหารสมเหตุสมผล ทหารต้องมีศัตรูที่ทำให้พวกเขาต้องออกมา พวกทหารจึงสร้างภาพว่ามีกลุ่มสมคบคิดต่อต้านสถาบัน และได้เร่งการไต่สวนคดีหมิ่นสถาบันที่ค้างกระบวนการอยู่ ผู้ต้องหาจะถูกนำตัวส่งศาลทหารโดยตรงโดยไม่มีผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย และไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้
ในขณะที่ทหารทำการข่มขู่เพื่อปิดปากพวกต่อต้าน พวกเขาก็กำลังพยายามสื่อสารกับต่างประเทศไปด้วย ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะสามารถกล่อมเฟซบุค กูเกิล และไลน์ ให้ปิดกั้นกลุ่มต่อต้านได้ และได้ขอให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าทหารมี"หลักฐานที่แน่นหนาและเหตุผลที่เข้มแข็ง"ในการยึดอำนาจ เหตุผลที่ทหารเอามาอ้างนี้ดูคล้ายคลึงกับในสมัยรัฐประหารปี 2549 ที่กล่าวว่าแม้ทหารจะสนับสนุนประชาธิปไตย แต่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนี้เองที่"ปัจเจกและกลุ่มคนต่างๆได้ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอยู่หลายครั้ง"
แต่การที่ทหารอ้างว่าพวกเขาจำเป็นต้องปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิ่งที่ไร้สาระและฟังไม่ขึ้น
การปิดกั้นเสรีภาพประชาชนนี้ไม่ได้นำพาประเทศให้ย้อนไปอยู่ในยุคหลังรัฐประหารปี 2549 หรือ 2534 แต่เหมือนกลับไปอยู่ในสมัยหลังเหตุการณ์ 6ตุลา 2519 มากกว่า ในตอนนั้น โทษของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกเพิ่มให้เป็นจำคุกไม่เกิน 15ปีต่อกระทง และทำให้หลายพันคนต้องหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ในคราวนั้น ทหารสามารถระบุตัวศัตรูได้ชัดเจน แต่ในปัจจุบันนี้ ทหารกำลังต่อสู้กับศัตรูที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
การรัฐประหารครั้งนี้อาจเทียบได้กับรัฐประหารในปี 2501 [นำโดยจอมพลสฤษดิ์ - ผู้แปล] ในคราวนั้นหลักการประชาธิปไตยถูกยกเลิกและหลักนิติธรรมทางกฎหมายถูกงดใช้โดยสิ้นเชิง ในยุคปัจจุบันนี้เองที่ชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังและตะโกนซ้ำไปซ้ำมาว่าเขาอับอายกับประเทศไทยได้ถูกทหารบุกเข้าจับตัวไป หญิงคนหนึ่งที่สวมหน้ากากที่มีคำว่า “people” ก็ถูกจับตัวไป และชายต่างชาติคนหนึ่งเพียงแค่ซื้อเสื้อยืดที่เขียนว่า "Peace Please” ก็ถูกจับกุมโดยทหารเช่นกัน
การแสดงความเห็นว่าต้องการประชาธิปไตย เสรีภาพ การเลือกตั้ง และสันติภาพ ได้กลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในยุคนี้
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมทำการประท้วงด้วยการชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์เหมือนในภาพยนตร์ Hunger Games และอีกกลุ่มหนึ่งประท้วงด้วยการนั่งอ่านหนังสือเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น นายพลที่กำลังหวาดวิตกจึงสั่งให้ทหารนับพันนายออกปฏิบัติการณ์ในกรุงเทพมหานคร
ในทุกๆวัน กลุ่มคนที่เชื่อในประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนทุกคุมตัวเข้าที่คุมขังมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างชาติได้ออกมาประณามการทำรัฐประหาร และอดีตสส.ของสหรัฐ นายบาร์นี่ แฟรงค์ ได้กล่าวว่า "สิทธิพื้นฐานตามหลักประชาธิปไตยถูกละเมิดอย่างชัดเจน"ในประเทศไทยมากกว่าในประเทศอื่นๆ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประชาคมโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบที่กำลังจะตามมาหรือไม่
คณะรัฐบาลทหารของไทยกำลังขอให้ทุกคน"ให้เวลาพวกเขาคิดวางแผนมากขึ้น" แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากำลังปิดปากผู้ต่อต้านและปิดก้ันประเทศไทยจากสังคมโลก
ตาม David Streckfuss ในทวิตเตอร์ได้ที่ @dstreckfuss
แปลโดย sin nobre