ขอใช้คำของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
เลขาธิการพรรคประชาชาติ เขียนถึงสถานการณ์ร้อนฉ่าในสหรัฐ เกิดการประท้วงและทำลายห้างร้าน
รวมทั้งปล้นสดมติดต่อกันมา ๕ วันนี่แล้ว ไม่แน่ว่าจะสงบเมื่อไร ตราบเท่าที่ประธานาธิบดียังไม่ลดความแข็งกร้าว
“การใช้กฎหมายอยู่เหนือความยุติธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
จะนำมาซึ่งความขัดแย้ง ที่เรียกว่าความยุติธรรมไม่มี สันติภาพไม่เกิด”
เฉกเช่นการอ้างกฎหมาย ‘หนีทหาร’ เพื่อจะจัดการปิดปากนายสิบไทยคนหนึ่ง ที่โวยวายเรื่องทุจริตแต่กลับโดนผู้บังคับบัญชาข่มขู่ถึงชีวิต
กรณีชายผิวดำอเมริกันเสียชีวิตระหว่างถูกจับกุม
โดยตำรวจเมืองมินนีอาโพลิสใช้เข่ากดที่คอ และอีกสองคนนั่งทับบนหลังอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงจนขาดใจตาย
ผลการชันสูตรทั้งในส่วนทางการและเอกชนพบว่า ‘เป็นฆาตกรรม’
จอร์จ ฟลอยด์ตายเพราะขาดเลือดและอากาศไปเลี้ยงสมอง
เป็นเรื่องเศร้าที่มี ‘สายทรั้มพ์’ พยายามเน้นการปล้นสดมภ์และมาดผู้เผด็จการของประธานาธิบดี
เอามาวิจารณ์เรื่องนี้มากกว่าปัญหาใหญ่ของสังคม
ซึ่งคือการแบ่งแยกแตกขั้วแล้วมีผู้นำชนิด ‘divisive’ เร่งเร้าฐานเสียงการเมืองของตน
ขณะที่โจมตีกดดันฟากตรงข้าม
“มันเป็นเรื่องง่ายมากเลยที่คนจะวิจารณ์ด่าเรื่อง
looting หรือการพังร้านเข้าไปขโมยของว่าเป็นความเลวร้าย
เป็นสันดาน เป็นการทำผิดกฎหมาย นี่มันไม่ใช่การประท้วง บลา บลา บลา” Pavin Chachavalpongpun ร่วมให้ความเห็น
นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต
ผู้รณรงค์ต่อต้านอำนาจเผด็จการในประเทศไทยที่รู้จักกันดีในระดับโลกชี้ว่า
สภาพการณ์เช่นนี้ “มันคือ anarchy คือสภาพความง่อยเปลี้ยของกฎหมายที่ไม่สามารถทำอะไรได้...มันเป็นเรื่องความล่มสลายของระบบตำรวจ”
ปวินเห็นว่าเบื้องลึกของเหตุ “อเมริกามี crisis
of leadership หรือวิกฤตผู้นำ จนมาวันนี้ อีทรัมป์ยังทวิตไม่เลิก
แถมยังออกมาด่าตำรวจว่าอ่อนแอ และปล่อยให้ผู้ชุมนุมได้ใจ” นายกเทศมนตรีหลายคน
(ที่แอ๊ตแลนต้า แม้กระทั่งกรุงวอชิงตัน ดีซี)
ออกมาวิงวอนให้ประธานาธิบดีหุบปากเสียที
แต่ดอแนลด์ จอห์น ทรั้มพ์
ก็ยังคงทำตัวเป็นพระเอกของฐานเสียงการเมืองตน
จุดหนึ่งที่ทำให้การประท้วงบานปลายระยะแรกก็คือการเขียนทวิตเตอร์ในความว่า “เมื่อมีการปล้นสดมภ์ก็ต้องมีการยิงตอบ”
นี่เป็นเชื้อไฟสุมให้มีการทำลายห้างร้านแล้วเข้าไปฉกฉวยข้าวของ
การประกาศว่าจะนำกำลังทหารออกมาจัดการกับผู้ชุมนุม
ยิ่งสุมไฟหนักเข้าไปใหญ่ เพราะในสถานการณ์ ‘riot’ ลุกฮืออย่างนี้
‘ยิ่งตียิ่งฮึด’
ผู้นำที่มีวิจารณญานเขาไม่ทำกัน ทว่าทรั้มพ์กลับคิดถึงแต่การสร้างภาพ เมื่อวานเดินจากทำเนียบขาวไปยืนถือไบเบิลหน้าโบสถ์ใกล้เคียง
ก่อนออกเดินรัฐมนตรียุติธรรม วิลเลี่ยม บาร์
สั่งตำรวจให้ยิงแก๊สน้ำตา
และลูกบอลพริกใส่ฝูงชนที่ยืนประท้วงกันอย่างสันติหน้าทำเนียบขาว
ทั้งนี้เพื่อไล่ผู้คนออกไปจากบริเวณเส้นทางเดินของประธานาธิบดี ถูกวิจารณ์หนักขณะนี้ว่า
‘ไร้วุฒิภาวะ’
ผู้นำไทย โดยเฉพาะฝ่ายทหารก็มักมีอาการห่ามเหิมแบบทรั้มพ์
(ไม่รู้ใครเอาอย่างใคร) ช่วงสองวันที่ผ่านมามีข่าวกระหึ่มว่าผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้นำตัว
‘หมู่อาร์ม’ ส.อ.ณรงค์ชัย
อินทรกวี ไปดำเนินคดีในศาลทหาร “ฐานหนีราชการในเวลาปกติ” เกิน ๑๕ วัน
แม้จะยอมรับว่ากรณีทุจริตเบี้ยเลี้ยงทหารภายในกรมสรรพาวุธ
ที่หมู่อาร์มร้องเรียนนั้นเป็นความจริง (แต่ไม่ยอมรับกรณีที่อ้างว่าถูกข่มขู่เอาชีวิต)
นี่หรือคือการให้ความยุติธรรม แทนที่จะขอบใจหรือยกย่อง กลับยอกย้อนเอาผิดฐานทำให้กองทัพเสียหน้า
มิใยที่โฆษกทัพบกพยายามแก้ต่างให้นาย ว่า
ผบ.ทบ.ไม่เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมู่อาร์ม แต่ “เป็นไปตามสายการบังคับบัญชา
เรามีระบบการตรวจสอบผิดวินัย” พ.อ.วินธัย สุวารี แถลงว่าต้นสังกัดของหมู่อาร์มเป็นผู้ดำเนินการ
นี่คือวิธีการปกครองอย่างใช้อำนาจบาตรใหญ่
อันเป็นนิสัยซ้ำซากของรัฐบาลทหารไทย แม้แต่จะพยายามแปลงรูปให้เป็นระบบทหาร ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ก็ตาม
มันเป็นแบบอย่างให้กับประชาธิปไตยอันมีทรั้มพ์ ‘ทรงเป็นประมุข’ หรือไร
ถึงกระนั้นในประเทศไทยยังได้เห็นประกายแห่งความเป็น
‘คนยังยืนเด่น’ จากหมู่อาร์ม
เขาประกาศว่า “ผมพร้อมแล้วครับท่าน ผบ.ทบ. ผมจะไปมอบตัวต่อสู้คดี” หลังจากที่ข่าวว่า
ผบ.ทบ. “ออกหมายจับตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร”
ทั้งๆ ที่ “ผมเองเป็นผู้เสียหายจากการถูกบังคับกดขี่ข่มเหง...มีการกลั่นแกล้งทางวินัยตลอดมา
ส่วนยศฐาบรรดาศักดิ์นั้น หากท่านอยากถอดยศผมมาก
ผมคืนให้ท่านได้ครับ แล้วท่านคืนความยุติธรรมให้ผมได้หรือไม่”