ได้เห็นระเบียบสันติบาล กอง ๑ เมื่อวาน (๓ สิงหา)
ก็ชัดแล้วละ บ้านนี้เมืองนี้ รัฐตำรวจ รัฐทหาร รัฐเผด็จการ ทั้งฟาสซิสต์ ทั้งนาซี
ไม่มีที่ไหนนอกจากที่นี่ และที่บ้านทั่น ‘คิม’ (จองอึน) อีกแห่ง ที่ออกคำสั่งต่อสื่อยังกับพวก ‘ไอ้เณร’
หน่วยรักษาความปลอดภัยของงาน Thailand Social
Expo 2018 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ทำการตรวจสแกนคนร่วมงานอย่างละเอียด ค้นกระเป๋า ให้ลงทะเบียน ติดบัตรผ่าน
น่ะพอเข้าใจว่า คนสำคัญที่ไปพูดมีประชาชนเกลียดเยอะ อาจไม่ปลอดภัย
เช่นเดียวกับการตรวจตราอุปกรณ์ กล้องถ่ายภาพ เสาสามขา และกระเป๋าสัมภาระ
ก็เออละ เดี๋ยวนักข่าวหรือตากล้องคนไหนทนปากกระแนะกระแหนของทั่นผู้เข้าครองไม่ไหว
เอากล้องทุ่ม เอาสามขาตีกบาล แล้วทั่นจะได้ระคายเคือง
แต่การออกระเบียบให้ปฏิบัติ ๗+๗ ข้อของสันติบาลนี่สิ
เห็นว่าพวกนักข่าวเป็นลูกไล่หรือไอ้เณร ทหารเกณฑ์ไว้คอยรับใช้หรือไร
๑.ต้องแสดงความเคารพทั้งก่อนและหลังจากถ่ายภาพนายกรัฐมนตรี มีคนถามว่าจะต้องคลานเข้าไปกราบงามๆ
สามหนไหม ๒.สุภาพบุรุษใส่ชุดสูทสากล นักข่าวเขาต้องวิ่งไปโน่นนี่ มุมโน้นมุมนี้นะ
ไม่ได้ไปยืนเจี๋ยมเจี้ยมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
๓.กล้องที่นำไปต้องผ่านการตรวจและติดแท็ก และ
๔.อนุญาตเฉพาะผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วเข้า นั่นโอเค แต่ข้อ ๕.ไม่แสดงกิริยามารยาทและใช้วาจาไม่สมควร
นี่ชี้หน้าบ้าง ค้อนบ้าง โยนของใส่บ้าง เข้าข่ายไหม
ส่วน ๖.เวลาถ่ายภาพนายกฯ ต้องห่างอย่างน้อย ๕ เมตร
นี่กลัวเห็นสิวหรือไง แล้วก็ ๗.ห้ามเบียดเสียด ห้ามยืนค้ำหัว
หรือแค่ยื่นกล้องข้ามหัวก็ไม่ได้ วุ้ยมารยาทแบบไทยๆ ต้องนั่งพับเพียบถ่าย ถ้ายองๆ
ถ่ายได้ไหมเอีย
ระเบียบกอง ๑ ยังลงลึกรายละเอียดยิบยับถึงในขณะบันทึกภาพ
ว่า ๑.ต้องไม่ส่องตรงหน้าขณะนายกรัฐมนตรีอยู่ในห้องรับรอง ไม่อยากจะถามนะว่า ถ้าส่องก้นแล้วมันจะรู้ไหมว่าเป็นของใคร
๒.ห้ามถ่ายภาพขณะทั่นเดินขึ้นหรือลงที่สูง อันนี้ไม่เข้าใจตรรกะ เพื่ออะไร
๓.ห้ามถ่ายภาพ ฯพณฯ ขณะรับประทานอาหาร
(เวอร์ชั่นของจริงเขาเขียน รับ ‘ประธาน’ ไม่รู้ว่าจงใจหรือแกล้งโง่)
นี่เหมือนกัน ทั่นกินมูมมามเหรอ ถึงต้องห้ามจับภาพ แต่ก็เออ พอรับได้ เป็น ‘ไพรเวซี่’ อย่างหนึ่งไม่ว่ากัน
ส่วนข้อ ๔-๕-๖ ห้ามวิ่งแซง แย่งตัดหน้า ลุกลี้ลุกลน ให้อยู่เฉพาะใน
‘คอก’ ที่จัดไว้ ใช้ไฟแฟล้ชความสว่างไม่ควรเกิน ๑,๕๐๐
วัตต์ และอย่าเข้าไปใกล้ห้องรับรอง ล้วนประเภท สมบัติผู้ดี กฤษณาสอนน้อง
หรือมารยาทไอ้เณรต้องนบนอบพวกนายๆ
ยังดีที่ข้อ ๗ หากฝ่าฝืนหรือใครผิดพลาดละเมิดกฏ
แค่ถูกริบปลอกแขนและให้ยุติถ่ายภาพตลอดงาน ไม่ถึงกับส่งไปค่ายกักกันหรือ ‘ปรับทัศนคติ’
พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างนั้น แม้จะชวนให้ ‘ขำขัน’ กับความ ‘งี่เง่า’
ช่างดึกดำบรรพ์ แต่มันมีผลสะท้อนลงลึกในบรรยากาศแห่ง ‘อำนาจนิยม’ และลักษณะ ‘ข่มเขาโค’
ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ในระบอบเผด็จการ คสช.
ฝ่ายทหารนั้นจนเมื่อวันก่อนนี่เอง (๒ สิงหา) ก็ยังมีข่าวว่า
ออกข่มขู่กดดันชาวบ้านอย่างเคย ดังรายงานของ ‘ไอลอว์’ เรื่องนักกิจกรรมเสื้อแดงรายหนึ่งที่อุดรธานี
ฟ้องว่า “มีทหารในเครื่องแบบชุดลายพรางจำนวน ๖ นาย
เดินทางมาที่บ้านพักของเธอเพื่อถามความเคลื่อนไหว และถ่ายรูปภายในบ้านไปจำนวนมาก”
สตรีที่ถูกทหารจู่โจม ‘เยือน’ ก็เลยถ่ายภาพทหารพวกนั้นไว้บ้าง ทำให้พวกเขาไม่พอใจ
โดยทีมลายพรางอ้างว่ามาเยี่ยมเพื่อสอบถาม “มีนักการเมืองคนไหนเข้ามาแนะนำตัวว่าจะมาสมัครรับเลือกตั้งในเขตที่
(เธอ) อยู่หรือไม่”
นอกจากนั้นยังถามถึงเรื่องว่า ในวันที่ ๔ สิงหานี้ นายจตุพร
พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จะพ้นคุกจากคดีข้อหาหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ว่าเป็นฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน “เธอจะเดินทางไปร่วมรับตัวจตุพรหรือไม่”
เธอตอบกลับทหารว่าเธอจะไป โดยยืนยันว่าการเดินทางไปให้กำลังใจเพื่อนเป็นสิทธิเสรีภาพของเธอที่สามารถทำได้
ซึ่งทหารพวกนั้นไม่ได้ห้ามปราม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแต่งชุดรบแห่กันไปถามแค่นั้น
มันเป็นวิธีการข่มขู่กดดันตามหลักสงครามจิตวิทยาแบบทหาร
ในการทำให้ประชาชนในเขตยึดครองเกรงกลัว พลงองประยุทธ์ จันทร์โอชา
เองก็แสดงออกถึงการเป็น ‘นักเผด็จการ’ ในคำพูดปาฐกถาของเขาที่งานอินดัสตรี้เอ็กซ์โป
เขาโอ้อวดว่า “สิ่งที่ผมพูดมาตลอด ๔ ปี ไม่มีอะไรไม่ดี...และพยายามคิดแทนประชาชนทุกกลุ่ม
ว่าเขาต้องการอะไร...ที่ผมพูดมาทั้งหมดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ
และที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลไหนพูดแบบนี้”
นั่นละ พยายามไปคิดแทนประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สิทธิในทางประชาธิปไตย
แทนที่จะบอกว่าพยายามนำเอาความคิดของคนทุกกลุ่มมาทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผล
มิน่าเล่า คำพูดของตนเองหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว
ยอมรับความจริงว่า
“แต่รัฐบาลนี้ยิ่งพูดยิ่งทำยิ่งโดนด่า”