เอ้า คราวนี้ถึงตา ป.ป้อม อวดวิเศษบ้าง แก้ปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่ภาคอีสาน
“สามารถร่วมเจรจาไกล่เกลี่ย ทำข้อตกลงประนอมและปรับโครงสร้างหนี้กับทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้แล้ว
รวม ๒๐๙,๕๓๘ ราย” และ
“สามารถนำกลับมาซึ่งทรัพย์สินของประชาชนจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
เป็นโฉนดที่ดินกว่า ๗,๐๐๐ ไร่ และรถยนต์จำนวนมาก
มูลค่ารวมกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท” พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์
โฆษกกระทรวงกลาโหมคุยแทนนาย
นัยว่า คสช.
ออกไปจัดระเบียบหนี้นอกระบบภาคอีสานเพราะ ภาคนี้มีลูกหนี้นอกระบบมากกว่าครึ่งของทั้งประเทศ
หรือ ๕.๖ แสนคน ขณะที่ทั้งประเทศมีราว ๙ แสนคน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รองนายกฯ ถือว่าเป็นวาระสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติ
งานนี้ยังมีการทำพิธีส่งมอบโฉนดที่ดินคืนแก่ประชาชน
ที่เป็นหนี้นอกระบบในภาคอีสานจำนวน ๑,๗๗๘ คน โฉนดที่ดิน ๑,๕๒๓ ฉบับ
รวมพื้นที่ทั้งสิ้น ๖,๓๐๙ ไร่ โดยให้พล.อ.ประวิตรเป็นประธานในการแจกครั้งนี้
ขณะที่หัวหน้าใหญ่ไปตรวจงานแถวฝั่งธนฯ แทนผู้ว่า
กทม. มหาดไทย และกระทรวงท่องเที่ยว ย้ำว่า “มาคนเดียวทำหน้าที่แทน ส.ส.” แต่ไม่ใช่มาหาเสียง
และจะไม่ลงเลือกตั้ง ทั้งที่มีชาวบ้านตะโกนเชียร์ อยากให้ลงเลือกตั้ง
จะได้เลือกให้อยู่ต่อ
“จะอยู่ยังไงไม่รู้ ต้องไปดูรัฐธรรมนูญ”
ประยุทธ์เจื้อยระหว่างเดินสายไปวัดอินทารามฯ เขตธนบุรี ครั้นนักข่าวสะกิดว่า อ้าว “ในรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้เป็นนายกฯ
ต่อได้ไม่ใช่หรือ” ก็เมินหน้าหนี แต่ไม่วายคายออกมานิดให้ “ไปดูเอา”
นอกนั้นเอาแต่พล่ามถึงอิทธิฤทธิ์ยุทธศาสตร์
๒๐ ปี ว่าต่อไปข้างหน้ารัฐบาลไหนก็ต้องทำให้สอดคล้อง
แม้แต่การเกณฑ์ทหารก็เลิกไม่ได้ เพราะทำให้คนมีระเบียบวินัย แถมช่วยพัฒนาประเทศ
ช่วยน้ำท่วม และแก้ปัญหาชายแดน
ประเด็นหลังนั่นอาจจะน้ำลายพาไป
คุยเพลินแบบไม่คิดว่าระเบิดภาคใต้สมัย
คสช.ครองเมืองกว่าสี่ปีนี่มากกว่าเมื่อก่อนยึดอำนาจเยอะเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น
รายการลงพื้นที่ทั้งพี่ป้อมน้องตู่ไม่มีอะไรมากไปกว่าประชาสัมพันธ์ผลงานโครงการที่ผลาญเงินงบประมาณไปแล้วมหาศาล
กับปัญหาเล็กปัญหาน้อยปล่อยหมักหมมต่อไป
อย่างเรื่องความยุติธรรมในแวดวงทหารเอง
กรณีนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตหลังจากถูกรุ่นพี่ซ่อม (‘ธำรงวินัย’) หนักหน่วงเมื่อปีที่แล้ว
ทางครอบครัวทำการฟ้องร้องเพื่อเอาผิดกับคนที่ทำเกินเหตุเป็นจำนวน ๔ คดี ผ่านมา ๑๐
เดือนแล้วยังไม่ไปถึงไหน
“เนื่องจากสถาบันนิติเวชวิทยาศาสตร์ได้ออกมาชี้แจงผลการชันสูตรเบื้องต้น
อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมองของน้องเมย (นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์
นักเรียนเตรียมทหารผู้ตาย) ทางสถาบันฯ ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ยืนยันได้”
เหตุเพราะอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เก็บไว้ตรวจพิสูจน์
“ได้ผ่านการดองน้ำยาฟอร์มาลีน มีการเสื่อมสลายมาก” น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์
พี่สาวของผู้ตายยอมรับว่าคดีมาถึงทางตัน
ในเมื่อไม่สามารถตรวจยืนยันอวัยวะของน้องชายได้
ก็ไม่สามารถสรุปสาเหตุของการเสียชีวิตได้
“ส่วนทางนางสุกัลยา มารดาของน้องเมยเปิดเผยว่า รู้สึกน้อยใจการทำงานของกระบวนการยุติธรรม
ทางครอบครัวทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่ทำได้ แต่วันนี้ได้คำตอบว่า ให้รออย่างเดียว”
(https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1453503 และ https://prachatai.com/journal/2018/08/78317?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter)
อีกทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพที่ไม่สมดุล
คนบางกลุ่มมีเหลือเฟือถ้าเยินยอหรือเชียร์ลุงตู่สู้ๆ ขณะที่จำกัดจำเขี่ยกับอีกบางกลุ่ม
ที่เพียงเรียกร้องให้จัดเลือกตั้งโดยไวหลังจากที่เลื่อนมาแล้วสี่ห้าครั้ง กลับถูกดำเนินคดีตั้งข้อหาขัดต่อความมั่นคง
ระวางโทษหนัก
โดยเฉพาะล่าสุด มีกฏกระทรวงศึกษาธิการออกมาควบคุมความประพฤตินักเรียนนักศึกษา
แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะความประพฤติต้องห้าม เช่น การรวมกลุ่ม มั่วสุม
อันน่าจะก่อให้เกิด “ความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”
๒. “การแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวอันไม่เหมาะสม
จากเดิมที่ห้ามเฉพาะการแสดงพฤติกรรมทางชู้สาวซึ่งไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ
เป็นการห้ามไม่จำกัดสถานที่”
และ ๓. “เกี่ยวกับการออกนอกสถานที่พัก
เพื่อเที่ยวเตร่หรือรวมกลุ่มอันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น
จากเดิมห้ามเฉพาะเวลากลางคืน เป็นการห้ามไม่จำกัดเวลา”
ล้วนแต่เป็นการเข้าไปจำกัดการกระทำในชีวิตส่วนตัวของเยาวชน
ทั้งในสถานที่มิดชิดและตลอดเวลา
ไม่ต่างอะไรกับลักษณะเผด็จการครอบงำที่ปรากฏในนิยายการเมืองคล้าสสิค ‘1984’
ที่มีพี่ใหญ่ ‘Big Brothers’
คอยกำกับควบคุมการดำเนินชีวิตของประชากรยิ่งกว่านักโทษที่ถูกจองจำ
จนมีบางคนตั้งข้อสังเกตุเจตนาของรัฐบาล
คสช. ในเรื่องนี้ว่า “ให้มีผลต่อการแสดงความเห็น ของผู้มีอายุครบ ๑๘ ปี +
ที่กำลังจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง นี่เอง” (Ghost Writer █ @RITT41)